คำนำ
การประชุมสมัชชาโลกคือการรวมตัวกันของผู้คนในทุกประเทศทั่วโลกเพื่อถกเถียงปัญหาวิกฤตทางสภาพภูมิอากาศและวิกฤตทางนิเวศวิทยา
สมัชชาพลเมืองคืออะไร
สมัชชาพลเมืองคือกลุ่มคนที่มาจากวิถีชีวิตหลากหลายมารวมตัวกันเพื่อเรียนรู้บางสิ่งบางอย่าง เพื่อทำในสิ่งที่เป็นไปได้ เพื่อเสนอแนะต่อรัฐบาลและผู้นำทางความคิด และเพื่อกระตุ้นการเปลี่ยนแปลง. สมาชิกของสมัชชาพลเมืองนี้เป็นตัวแทนที่ตั้งขึ้นมาเพื่อใช้ในการตั้งคำถามต่อเมืองหรือประเทศ (ในที่นี้คือต่อโลก) โดยดูจากฐานข้อมูลประชากร เช่น เพศ อายุ รายได้ และระดับการศึกษา
สมัชชาโลกคืออะไร
สมัชชาโลกปี 2021 ประกอบไปด้วยจำนวนสมัชชาแกนนำพลเมือง 100 ท่าน เป็นการรวมตัวของชุมชนระดับท้องถิ่นซึ่งทุกคนสามารถที่จะจัดตั้งได้ทุกพื้นที่ รวมทั้งกิจกรรมทางด้านวัฒนธรรมซึ่งผู้คนเข้าไปมีส่วนร่วมได้ ในปีนี้องค์การสหประชาชาติจะมีการจัดการประชุมผู้นำระดับโลก คือ 1. การประชุมของภาคีในหัวข้อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศหรือที่เรียกว่าการประชุม COP26 และ 2. การประชุมเรื่องความหลากหลายทางชีวภาพ หรือที่เรียกว่าการประชุม COP15 โดยในการที่จะนำไปสู่การเจรจาของการประชุมของทั้งสองนี้ สมัชชาแกนนำ (Core Assembly) ได้รวบรวมคนหนึ่งร้อยคน ซึ่งเป็นตัวแทนภาพรวมของประชากรโลก ให้เรียนรู้เกี่ยวกับวิกฤตทางสภาพภูมิอากาศและวิกฤตทางชีวภาพ เพื่อที่จะพิจารณาไตร่ตรองและแบ่งปันข้อมูลหลักที่จะนำไปแสดงต่อที่ประชุม COP26 ที่เมืองกลาสโกว์ ประเทศสก็อตแลนด์ ในเดือนพฤศจิกายนปี 2021 โดยในปีนี้สมัชชาโลกจะพิจารณาการจัดประชุมในหัวข้อที่ว่า “ทำอย่างไรมนุษยชาติจะแก้ไขปัญหาวิกฤตทางสภาพภูมิอากาศและวิกฤตทางชีวภาพอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นธรรม”
คำแนะนำเกี่ยวกับจุลสารการเรียนนี้
ข้อมูลและจุลสารเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของชุดข้อมูลที่จะนำไปประกอบการเรียนและขั้นตอนการพิจารณาของสมัชชาโลก จุดประสงค์ของอุปกรณ์การเรียนการสอนนี้คือการให้ข้อมูลเพื่อที่ผู้เรียนจะสามารถให้ความเห็นของตัวเองเกี่ยวกับวิกฤตทางภูมิอากาศและวิกฤตทางนิเวศวิทยาได้
เราหวังว่าเอกสารนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของการตั้งคำถามอย่างต่อเนื่องที่ผู้เรียนจะนำไปปฏิบัติตามในปีต่อ ๆ ไป และเราสนับสนุนให้ผู้เรียนเกิดความคิดที่ท้าทายองค์ประกอบของเนื้อหาที่อยู่ภายในจุลสารเล่มนี้ และนำคำถามที่ท้าทายแนวคิดต่าง ๆ นี้รวมถึงบทสรุปของเนื้อหานี้ไปสู่สมัชชาโลก
วิกฤตทางสภาพภูมิอากาศและวิกฤตทางนิเวศวิทยานี้เป็นหัวข้อที่ซับซ้อน ซึ่งเป็นผลมาจากองค์ประกอบเกี่ยวกับการเมืองเศรษฐกิจ สังคม ประวัติศาสตร์ ซึ่งมีความสัมพันธ์กัน ถึงแม้ว่าวิกฤตนี้ดูเหมือนจะเป็นปัญหาในปัจจุบัน แต่ต้นเหตุหลักของปัญหาได้ย้อนกลับไปหลายชั่วอายุคนอย่างน้อยถึง 2 ศตวรรษ
จุลสารเล่มนี้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับหัวข้อที่สำคัญที่สุดบางหัวข้อซึ่งเกี่ยวกับวิกฤตทางสภาพอากาศและวิกฤตทางนิเวศวิทยา. เอกสารการเรียนการสอนนี้คณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญขององค์การสหประชาชาติได้มารวมตัวกันเพื่อให้ความรู้และรายละเอียดเกี่ยวกับขั้นตอนการร่างจุลสารเล่มนี้ ซึ่งอยู่ในเว็บไซต์ของสมัชชาโลก
ไม่ต้องรีบร้อนที่จะอ่านเอกสารภายในครั้งเดียว เอกสารนี้มีจุดประสงค์เพื่อเป็นหลักฐานอ้างอิงและพวกเราหวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้เรียนในการที่จะเข้าไปมีส่วนร่วมกับองค์กรสมัชชาโลกและเพื่อที่จะสนับสนุนการเรียนรู้ของผู้เรียนเพื่อนำไปพิจารณาแก้ไขวิกฤตทางสภาพภูมิอากาศและวิกฤตทางนิเวศวิทยา
มีแหล่งข้อมูลเสริมในจุลสารเล่มนี้ ได้แก่ วิดีโอ ภาพการแสดง ภาพประกอบ และคำบอกเล่าจากประสบการณ์จริง รวมทั้งข้อมูลจุลสารนี้ในภาษาต่าง ๆ ซึ่งสามารถหาได้ที่เว็บไซต์ Wiki ของสมัชชาโลก.
รายละเอียดเพิ่มเติมของความหมายของศัพท์ที่ไฮไลท์เป็นตัวหนา สามารถเข้าไปอ่านเพิ่มเติมได้ที่บริบทในตอนท้ายของจุลสารเล่มนี้ จุลสารเล่มนี้ใช้หน่วยวัดอุณหภูมิเป็นค่าเซลเซียสหากต้องการแปลงค่าเซลเซียสเป็นฟาเรนไฮน์ให้ไปที่หัวข้ออภิธานศัพท์
สรุปเนื้อหาในภาพรวม
โลกของเราจะเป็นอย่างไรในปี 2050
ทารกที่เกิดทุกวันนี้จะได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศซึ่งเกิดจากมนุษย์เป็นผู้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและจากการเสื่อมโทรมของธรรมชาติ ในตอนนี้คำถามไม่ใช่คำว่า “ถ้า” อีกต่อไป แต่เป็นคำถามว่า “มากเท่าไหร่” สิ่งที่เรากำลังทำทุกวันนี้ล้วนแต่มีผลกระทบต่อคนรุ่นหลังและการมีชีวิตอยู่ของเรา ว่าเราจะอยู่ไปได้นานอีกเท่าไหร่ แต่แม้ว่าอุณหภูมิของโลกจะสูงขึ้นและการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพจะถูกปิดตาย เรายังคงมีเวลาที่จะกำจัดการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศและการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพและยังคงมีเวลาที่จะหลีกเลี่ยงผลกระทบที่เลวร้ายที่สุดที่เป็นไปได้ของวิกฤตสภาพภูมิอากาศและวิกฤตทางนิเวศวิทยา
สาเหตุของวิกฤตสภาพภูมิอากาศและวิกฤตทางนิเวศวิทยานั้นมีรากฐานมาจากประวัติศาสตร์และสามารถเชื่อมต่อกับโลกทัศน์ซึ่งได้กำหนดแนวทางในการที่สังคมดำเนินอยู่ทุกวันนี้ มนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติและขึ้นอยู่กับธรรมชาติอย่างที่สุดในการที่จะดำรงชีวิตอยู่.
การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ การเสื่อมโทรมของดิน มลพิษทางอากาศและมลพิษทางน้ำ มีความเชื่อมโยงกันอย่างสูง คุณภาพชีวิตของคนที่อาศัยอยู่ในทุกมุมโลกและโอกาสสำหรับคนรุ่นปัจจุบันและคนรุ่นใหม่ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติตัวในวันนี้เพื่อที่จะแก้ไขปัญหาทั้งหมดนี้ การกลับไปใช้พลังงานทดแทน การอนุรักษ์และฟื้นฟูระบบนิเวศ และแนวทางที่จะสัมพันธ์กับธรรมชาตินั้น เป็นขั้นตอนที่สำคัญอย่างยิ่งในปีต่อไป บทสำรวจ เมื่อไม่นานนี้พบว่าประชากรส่วนใหญ่ในทุกภูมิภาคของโลกสนับสนุนการกระทำที่ช่วยในด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ถึงแม้ว่าจะมีการแพร่ระบาดของโรค Covid-19 ซึ่งยังคงส่งผลกระทบต่อชีวิตของมนุษย์ในทุกวันนี้ก็ตาม
ประเด็นสำคัญ:
- กิจกรรมของมนุษย์ เช่น การเผาผลาญเชื้อเพลิงฟอสซิลก่อให้เกิดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิในโลก การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิของโลกนั้นมีผลต่อสภาพภูมิอากาศและรูปแบบของสภาพภูมิอากาศ ซึ่งไม่สามารถเรียกกลับคืนมาได้ แต่ผลกระทบบางอย่างที่เลวร้ายที่สุดในอนาคตสามารถหลีกเลี่ยงได้ ขึ้นอยู่กับการกระทำของเราทุกวันนี้
- ผลของมลภาวะเป็นพิษ การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ การทำลายแหล่งที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติ การแสวงหาผลประโยชน์จากธรรมชาติ สายพันธุ์ของพืชและสัตว์หนึ่งล้านสายพันธุ์ถูกคุกคามจนสูญพันธุ์
- การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพได้ทำลายสุขภาพของมนุษย์ ความมั่นคงด้านทรัพยากรอาหาร ความมั่นคงด้านทรัพยากรน้ำและสุขภาพของมนุษย์
การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศมีสาเหตุมาจากปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่มากไปในชั้นบรรยากาศของเรา ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกที่มีความสำคัญที่สุดที่มนุษย์ผลิตขึ้นมา เกิดจากการที่มนุษย์เผาพลังงานฟอสซิลเพื่อใช้ในการขนส่งและเมื่อป่าถูกทำลาย เมื่อ 200 ปีที่แล้วนี้ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นสาเหตุให้โลกร้อนถึง 1.2 เซลเซียส (หรือ 2.16 องศาฟาเรนไฮต์) วิทยาศาสตร์ได้ค้นพบว่าภาวะโลกร้อนจะเกิน 2 องศาเซลเซียส (3.6 องศาฟาเรนไฮต์) ในศตวรรษที่ 21 นี้ ถ้ายังไม่มีการลดจำนวนก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และลดจำนวนการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอื่น ๆ ในทศวรรษที่กำลังจะมาถึง ฟังดูเหมือนจะตัวเลขที่เพิ่มขึ้นจะไม่สูงมาก แต่นี่หมายถึงการสูญเสียชีวิตและการดำรงชีวิตของมนุษยชาติอีกหลายร้อยล้านคน
การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิ หมายความว่า โลกของเราจะประสบปัญหาคลื่นความร้อนที่รุนแรงขึ้นและบ่อยครั้งขึ้น รวมถึงปัญหาไฟไหม้ป่า การล้มเหลวของพืชพันธุ์ และยังหมายถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ของปริมาณน้ำฝน เช่น บางพื้นที่ฝนตกมากเกินไป บางพื้นที่ฝนตกน้อยเกินไป ซึ่งนำไปสู่ปัญหาความแห้งแล้งและปัญหาอุทกภัย
กิจกรรมของมนุษย์บนโลกมีผลกระทบอย่างรุนแรงต่อพืช สัตว์ เชื้อรา และจุลินทรีย์ ผลของมลภาวะเป็นพิษ การเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ การทำลายล้างแหล่งที่อยู่อาศัยตาธรรมชาติและการแสวงหาผลประโยชน์จากธรรมชาติ ส่งผลให้ 1 ใน 8 ล้านสายพันธุ์ของพืชและสัตว์ถูกคุกคามจนถึงกับสูญพันธุ์
การขาดความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตทั้งของพืชและสัตว์นี้ทำให้ระบบนิเวศอ่อนแอลงและเสี่ยงต่อโรคได้ง่ายรวมถึงสภาพอากาศที่สุดขั้วซึ่งนำไปสู่ความสามารถน้อยลงในการตอบสนองความต้องการของมนุษย์และความเป็นอยู่ที่ดี
- การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพบนดินมีความรุนแรงน้อยกว่าเมื่อได้รับการจัดการโดยชนพื้นเมือง
ความหลากหลายทางชีวภาพในโลกนี้ส่วนมากเกิดขึ้นบนดินแดนบรรพบุรุษที่เป็นดินแดนดั้งเดิมของชนพื้นเมือง วัฒนธรรมของคนพื้นเมืองอยู่ด้วยกันได้อย่างกลมกลืนกับธรรมชาตินับพันปีและมีความรู้อันทรงคุณค่าสำหรับการอนุรักษ์ ฟื้นฟูระบบนิเวศและสรรสร้างระบบชีวภาพ อย่างไรก็ดีประวัติศาสตร์อันยาวนานของการล่าอาณานิคมและการกีดกันกลุ่มคนต่าง ๆ ย่อมหมายความว่ากลุ่มคนต่าง ๆ ในสังคมถูกบังคับและถูกขับไล่ออกจากดินแดนบรรพบุรุษของตนที่เคยทำมาหากินมาก่อน หรือกลายเป็นผู้ลี้ภัยทางสภาพภูมิอากาศ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ดังนั้นระบบความรู้ ภาษา และวัฒนธรรมที่มีอัตลักษณ์ของชุมชนคนกลุ่มนี้จึงถูกทำลายไป
- ทุกประเทศไม่ใช่ว่าจะมีความรับผิดชอบต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศเท่า ๆ กัน กล่าวคือ ประเทศที่ร่ำรวยได้ผลิตก๊าซเรือนกระจกมากขึ้นเป็นประวัติกาล
การเผาเชื้อเพลิงฟอสซิลมีความเชื่อมโยงกับการพัฒนาทางเศรษฐกิจ ดังนั้นจากสถานการณ์ดังกล่าว ประเทศร่ำรวย อันได้แก่ ประเทศสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และสหภาพยุโรป (อียู) ได้ผลิตก๊าซเรือนกระจกในประมาณมากที่สุดตลอดเวลาที่ผ่านมา และผลจากการที่ประชากรโลกเพิ่มขึ้นทั้งจากประเทศอย่างเช่น ประเทศจีนและประเทศอินเดีย ทำให้เกิดการพัฒนาตามประเทศที่ร่ำรวยที่กล่าวมานี้ ส่งผลให้ประชากรมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นและต้องพึ่งพาการเผาผลาญพลังงานฟอสซิลทุกปี
- หากยังไม่มีมาตรการการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกยังเร่งด่วนรวดเร็ว พวกเราจะไม่สามารถจำกัดภาวะโลกร้อนให้ต่ำกว่าที่อุณหภูมิ 2 เซลเซียส (3.6 องศาฟาเรนไฮต์) ได้ ซึ่งจะมีผลกระทบอย่างมากต่อความเป็นอยู่ที่ดีของมนุษย์
การมีชีวิตอยู่ในสภาวะการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศหมายถึงความไม่แน่นอนในการมีชีวิตอยู่ หนึ่งในความไม่แน่นอนทั้งหลายเหล่านี้ก็คือแนวคิดเกี่ยวกับจุดพลิกผันหรือจุดเปลี่ยนของช่วงเวลาที่ไม่สามารถย้อนกลับมาได้ หรือที่เรียกว่า “จุดพลิกผันของสภาพอากาศ” หรือ “จุดเปลี่ยนของสภาวะอากาศ” ที่ไม่สามารถย้อนกลับได้ เมื่อผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมีผลเสียหายซึ่งไม่สามารถแก้ไขได้และถูกกระจายไปทั่วโลกเหมือนโดมิโน และเมื่อจุดพลิกผันนี้ได้มาถึง ก็จะเกิดเหตุการณ์ตามลำดับซึ่งนำไปสู่การสร้างโลกที่ไม่เอื้ออำนวยต่อมนุษย์และรูปแบบวิถีชีวิตของมนุษย์ นักวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถทำนายได้อย่างแน่นอนว่าเมื่อไรจุดพลิกผันนี้จะไปถึงจุดอิ่มตัว
- ในปี 2015 ผู้นำโลกจะมีการพบปะกันที่เมืองปารีสเพื่อกำหนดข้อตกลงในการจำกัดภาวะโลกร้อนให้ต่ำกว่า 2 องศาเซลเซียส หรือ ถ้าเป็นไปได้ที่ 1.5 องศาเซลเซียส
- ตามที่คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IPPC) ได้กล่าวไว้ว่า ภาวะโลกร้อนที่ 1.5 องศาเซลเซียสจะมีความเป็นไปได้ที่จะบรรลุเป้าหมายให้สำเร็จในปี 2040 อย่างไรก็ดี การตั้งเป้าหมายอุณหภูมิไว้ที่ไม่เกิน 2 องศาเซลเซียสก็ขึ้นอยู่กับระดับของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่จะถูกปล่อยออกมาในทศวรรษต่อ ๆ ไปด้วย
- ถ้าคำมั่นสัญญาของแต่ละประเทศในปัจจุบันที่จะลดจำนวนการปล่อยก๊าซเรือนกระจกบรรลุผลสำเร็จ (ซึ่งเราก็ยังไม่แน่ใจว่าจะสำเร็จไหม) ก็ยังมีความเป็นไปได้ที่ภาวะโลกร้อน จะอยู่ที่ 3 องศาเซลเซียสเป็นอย่างน้อยอยู่ดี ถึงแม้ว่าข้อตกลงปารีสในปี 2015 มีเป้าหมายที่จะจำกัดภาวะโลกร้อนให้ต่ำกว่า 2 องศาเซลเซียสก็ตาม
- การให้คำมั่นสัญญาของประเทศยากจนต่าง ๆ ต่อข้อตกลงปารีสอาจจะไม่บรรลุผล เพราะประเทศเหล่านี้ต้องพึ่งพาความช่วยเหลือทางการเงินจากต่างประเทศ และถึงตอนนี้การช่วยเหลือระหว่างประเทศได้เกิดขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
หลายประเทศคาดหวังว่าจะเพิ่มการให้คำมั่นสัญญาทุก ๆ 5 ปีตั้งแต่ข้อตกลงปารีสเมื่อปี 2015 ก็มีบางประเทศพบความสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี แต่อย่างไรก็ดี ยังไม่มีมาตรการดำเนินการอย่างเร่งด่วนที่จะจำกัดภาวะโลกร้อนให้ถึงอุณหภูมิเป้าหมายที่ 1.5 องศาเซลเซียส จากการสำรวจของอุณหภูมิ ณ.ปัจจุบัน ภาวะโลกร้อนจะพุ่งสูงถึง 1.5 องศาเซลเซียสในปี 2040 หรือเร็วกว่านี้ และจะเพิ่มสูงขึ้นถ้าไม่มีการลงมือปฏิบัติเพิ่มเติมขณะนี้
- เเกือบ 2 ใน 3 หรือ 60% ของประชากรใน 50 ประเทศในขณะนี้ เชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นภาวะฉุกเฉินทั่วโลก
- เพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายที่จะจำกัดภาวะโลกร้อนให้อยู่ที่ 1.5 องศาเซลเซียส ในช่วงทศวรรษของปี 2020 จึงเป็นช่วงที่ต้องทำการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลก ผู้นำระดับโลกจะมีการพบปะหารือกันในปีนี้ที่เมืองกลาสโกว์ เพื่อแก้ปัญหาวิกฤตสภาพอากาศ รวมทั้งในประเทศจีน ที่ซึ่งผู้นำทั่วโลกจะพบปะพูดคุยเพื่อแก้ปัญหาวิกฤตทางนิเวศวิทยา จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่รัฐบาลควรที่จะตระหนักถึงความสัมพันธ์ระหว่างวิกฤต 2 ด้านนี้ และพัฒนาเป้าหมายร่วมกัน รวมถึงการลงมือปฏิบัติที่เป็นไปในแนวทางเดียวกันอย่างจริงจัง
สืบเนื่องมาจากเป้าหมายในความตกลงปารีสที่ได้ตั้งไว้ การประชุม COP26 ที่เมืองกลาสโกว์ ควรจะเป็นการสร้างแผนงานอย่างละเอียดเพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายในความตกลงปารีสนี้ การพิจารณาที่สำคัญในระหว่างการประชุมที่เมืองกลาสโกว์ ได้แก่ จะตกลงกันอย่างไรเกี่ยวกับการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระยะเวลาอันใกล้ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น โดยการเปลี่ยนจากพลังงานฟอสซิล การพัฒนาคุณภาพของการใช้พลังงาน การจำกัดการตัดไม้ทำลายป่า และการหาวิธีที่จะเปลี่ยนการให้คำมั่นสัญญาที่จะทำให้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นศูนย์ไปเป็นการลงมือปฏิบัติอย่างจริงจัง
1. วิกฤตสภาพภูมิอากาศคืออะไร
ในหัวข้อนี้เราจะจะสำรวจปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” มันคืออะไร และอะไรเป็นสาเหตุให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนี้ และทำไมถึงเป็นเรื่องด่วนที่ต้องนำมาแก้ไข
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเชื่อมโยงกับภาวะโลกร้อนในระยะยาว สิ่งนี้เกิดขึ้นเพราะว่าจำนวนก๊าซเรือนกระจกอันมากมายมหาศาลถูกปล่อยเข้าไปในชั้นบรรยากาศของโลก
ชั้นบรรยากาศเป็นสิ่งที่มองไม่เห็นซึ่งครอบคลุมโลกและประกอบด้วยก๊าซหลายชนิด ก๊าซเรือนกระจกเป็นกลุ่มก๊าซพิเศษ ซึ่งสามารถเปลี่ยนความร้อนของบรรยากาศและทำให้โลกได้รับความอบอุ่นจากสมดุลความร้อนนี้ ก๊าซเรือนกระจกหลักประกอบด้วยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งผลิตมาจากการเผาเชื้อเพลิงฟอสซิลและการเผาป่า ก๊าซมีเทน และก๊าซไนตรัสออกไซด์ ทั้งสองประเภทนี้มาจากการผลิตพลังงานและการทำการเกษตร
ทางหนึ่งที่จะให้เห็นภาพความสัมพันธ์ระหว่างก๊าซเรือนกระจกและอุณหภูมิ คือ ให้นึกถึงห้องขนาดเล็กในวันที่ร้อน และได้รับแดดแผดเผาของแสงอาทิตย์ลงมาสู่หลังคา แต่ว่าภายในห้องไม่มีหน้าต่างไม่มีประตูให้ความร้อนนี้ได้ออกไปเพราะว่าความร้อนไม่มีทางที่จะออกไปไหนได้ ความร้อนจึงได้สะสมรวมตัวอยู่ในห้อง เช่นเดียวกันกับการที่เมื่อก๊าซเรือนกระจกมีอยู่ล้นมากในชั้นบรรยากาศ ความร้อนส่วนเกินก็จะถูกสร้างขึ้น
ก๊าซเรือนกระจกตัวหลักที่มนุษย์สร้างขึ้นมา คือ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) โดยกิจกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์ได้สร้างความเสียหายและทำลายสิ่งที่นำก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากชั้นบรรยากาศตามธรรมชาติ เช่น ป่าไม้ ผืนดิน และตั้งแต่ 200 ปีที่แล้ว ประชากรในประเทศร่ำรวยเริ่มเผาพลังงานฟอสซิล ซึ่งทำให้อุณหภูมิชั้นนอกของโลกได้เพิ่มขึ้นถึง 1.2 องศาเซลเซียส (2.16 องศาฟาเรนไฮต์) ถึงแม้ว่ามันดูเหมือนจะไม่มากมายนัก แต่ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา เป็นระยะเวลาที่หลาย ๆ ปีในโลกมีความร้อนสูงสุดในระยะเวลามากกว่า 100,000 ปี
แต่ความแตกต่างเพียงเล็กน้อยนี้ได้มีผลกระทบอย่างต่อเนื่องไปอีกนานต่อชีวิตของมนุษย์ อุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นหมายถึงว่าประชาชนประชากรกำลังประสบปัญหาคลื่นความร้อนที่รุนแรง รวมถึงไฟป่าและการล้มตายของพืช สิ่งนี้ยังมีความหมายรวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่ในด้านปริมาณน้ำฝนที่ตกลงมาในแต่ละวัน ในบางพื้นที่ฝนตกมากเกินไปและในบางพื้นที่ตกน้อยเกินไป ซึ่งนำไปสู่ความแห้งแล้งและภาวะน้ำท่วม
อุทกภัย ความแห้งแล้ง คลื่นความร้อนและพายุเฮอริเคนเกิดขึ้นก่อนการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติด้วยเช่นกัน แต่วิทยาศาสตร์ทางด้านสภาพภูมิอากาศได้บอกเราว่า การเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศทำให้เหตุการณ์สภาพอากาศเลวร้ายมากขึ้น ซึ่งทำให้ประชากร 100 ล้านคนในโลกนี้เสี่ยงต่อการสูญเสียถิ่นที่พักอาศัย ถูกฆ่า หรือ ถูกทำร้าย หรือขาดแคลนอาหาร หรือไม่มีน้ำสะอาดที่จะบริโภค
2. วิกฤตทางด้านนิเวศวิทยาคืออะไร
มีผลกระทบอะไรบ้างจากการกระทำของมนุษย์ต่อสิ่งมีชีวิตที่อยู่ร่วมโลกเดียวกัน ในหัวข้อนี้เราจะมุ่งศึกษาไปที่ประเด็นว่า ทำไมความหลากหลายทางชีวภาพจึงมีความสำคัญยิ่งต่อสุขภาพของมนุษย์ ความเจริญงอกงามและบทบาทของชุมชนพื้นเมืองทั่วโลก
มนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของสายใยแห่งชีวิตซึ่งมีความยิ่งใหญ่กว่าสิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์อื่นๆ สุขภาพของมนุษย์มีความเชื่อมต่อกันอย่างสลับซับซ้อนกับสุขภาพของสัตว์ พืชและสิ่งแวดล้อมที่พึ่งพากัน ผลของการที่มนุษย์ได้มีปฏิสัมพันธ์กับธรรมชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากประชากรในประเทศที่ร่ำรวย ส่งผลให้ปัจจุบันนี้เกิดการสูญพันธุ์ของสัตว์และพืช ซึ่งเป็นระดับการสูญพันธ์ที่เป็นไปอย่างรวดเร็วกว่าในอดีตที่ผ่านมา
ความหลากหลายทางชีวภาพหมายถึงความหลากหลายทั้งหมดของชีวิตซึ่งสามารถพบได้บนพื้นแผ่นดินนี้อันได้แก่ พืช สัตว์และจุลินทรีย์. สิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดแต่ละเผ่าพันธุ์มีบทบาทโดยเฉพาะที่จะมีผลกระทบต่อสุขภาพของระบบนิเวศ. อย่างไรก็ดีผลของมลภาวะเป็นพิษ ความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ พันธุ์ต่างถิ่นที่รุกราน การทำลายแหล่งที่อยู่อาศัยธรรมชาติและการตักตวงผลประโยชน์จากธรรมชาติ เช่น การออกหาปลามากเกินไปนั้น ทำให้ 1 ใน 8 ล้านสายพันธุ์พืชและสัตว์ทั้งหมดในโลกนี้ถูกคุกคามและเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์
นี่มีเหตุผลมากมายที่สามารถอธิบายได้ถึงการสูญพันธุ์นี้ กล่าวคือพื้นป่าในทั่วโลกนี้เป็นที่พักอาศัยและที่พึ่งพิงของสายพันธุ์ต้นไม้ นก และสัตว์ แต่ทุก ๆ ปี ผืนป่าอันมากมายมหาศาลถูกทำลายลง เนื่องจากมนุษย์ได้ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงพื้นที่ป่ามาทำการเกษตรและกิจกรรมอื่น ๆ
ระบบการผลิตอาหารและการเกษตรเป็นตัวผลักดันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดต่อการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ โดยเฉพาะการเกษตร ซึ่งทำให้สายพันธุ์สิ่งมีชีวิตถึง 24,000 ชนิดถูกคุกคามอย่างเห็นได้ชัดจนกระทั่งสูญพันธุ์ ปัจจุบันนี้ แหล่งอาหารทั้งหมดของโลกหลักๆแล้วขึ้นอยู่กับสายพันธุ์พืชเพียงไม่กี่ชนิด ในศตวรรษที่ผ่าน ๆ มา มนุษย์มุ่งสู่การผลิตอาหารที่เพิ่มขึ้นด้วยการลดต้นทุนการผลิตให้ต่ำลงมากขึ้น การผลิตทางการเกษตรที่หนักหน่วงนี้มีผลเสียต่อพื้นดินและระบบชีววิทยาของโลก ซึ่งทำให้ดินได้รับความเสื่อมโทรมและให้ผลผลิตน้อยลงเรื่อย ๆ ตามกาลเวลา
การผลิตอาหารในปัจจุบันต้องพึ่งพาปุ๋ย ยาฆ่าแมลง พลังงาน ดินและน้ำเป็นอย่างมาก ซึ่งเป็นแนวทางปฏิบัติที่ไม่ยั่งยืนอย่างเช่นการปลูกพืชเชิงเดี่ยวอย่างต่อเนื่อง โดยการไถพรวนอย่างรุนแรง ซึ่งเป็นการกระทบต่อโครงสร้างของดินเนื่องจากมีการใช้เครื่องจักรและอุปกรณ์การไถคราด สิ่งเหล่านี้ทำลายที่อยู่อาศัยของนกหลายชนิด สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมหลายประเภท แมลงหลายชนิด และสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ รวมไปถึงการคุกคามและการทำลายบริเวณที่สัตว์ทำรัง ให้อาหารและเพาะพันธุ์ และในที่สุดก็นำไปสู่การที่พันธุ์พืชพื้นเมืองนี้ต้องสูญพันธุ์ไป
การขาดความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตของพืชและสัตว์นี้ทำให้ระบบนิเวศอ่อนแอลงและเสี่ยงต่อโรคได้ง่ายและรวมไปถึงสภาพอากาศที่สุดขั้ว ซึ่งนำไปสู่ความสามารถน้อยลงที่จะสนองความต้องการและความเป็นอยู่ที่ดีของมนุษย์ ยาที่สำคัญหลายชนิดหลายประเภทซึ่งใช้สำหรับการรักษาโรคหลายโรค เช่น มะเร็ง เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากธรรมชาติหรือจากการสังเคราะห์ให้ใกล้เคียงกับสิ่งที่พบได้ในธรรมชาติ
ประชากรโลกเพิ่มขึ้นทุกปีซึ่งหมายถึงถึงการเพิ่มขึ้นของคนที่ต้องพึ่งพาระบบนิเวศน์เพื่อตอบสนองความต้องการพื้นฐานของพวกเขา การสูญเสียความหลากหลายทางด้านชีวภาพจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในทศวรรษข้างหน้า ถ้าหากไม่มีการกระทำที่เร่งด่วนที่จะหยุดยั้งและแก้ไขความเสื่อมโทรมของระบบนิเวศ รวมถึงการจำกัดการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมถึงเรียกว่าวิกฤต
บทบาทของชนพื้นเมืองดั้งเดิมในการอนุรักษ์ความหลากหลายทางนิเวศวิทยา
โดยเฉลี่ยแล้วแนวโน้มของการสูญเสียของระบบนิเวศนั้น มีความรุนแรงน้อยกว่าในพื้นที่ที่ถูกครอบครองและจัดการโดยชนพื้นเมืองและชุมชนท้องถิ่น
มีการประมาณว่ามีชนพื้นเมือง 370 ล้านคนกระจายอยู่ทั่วไปใน 70 ประเทศทั่วโลก แต่แม้ว่าจะมีจำนวนเพียงเกือบ 5 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนประชากรโลก ชนเผ่าพื้นเมืองนั้นได้ปกป้องรักษาความหลากหลายทางระบบนิเวศบนดินของโลกมากถึง 80% การมีชีวิตอย่างรู้หน้าที่และรับผิดชอบ อยู่อย่างพึ่งพาอาศัยกันและอยู่อย่างกลมกลืนกับธรรมชาตินี้เป็นค่านิยมหลักของวัฒนธรรมของชนเผ่าพื้นเมือง ซึ่งค่านิยมนี้มีความแตกต่างไปจากสังคมที่ซึ่งมีอำนาจเหนือกว่าพวกเขาในปัจจุบัน
ชนเผ่าพื้นเมืองนี้อาศัยอยู่ทั่วโลกจากมหาสมุทรอาร์กติกถึงมหาสมุทรแปซิฟิกใต้ พวกเขาเป็นทายาทของชาวพื้นเมืองดั้งเดิมที่มาตั้งรกรากอาศัยอยู่ในประเทศหรือในพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ในช่วงเวลาที่ผู้คนจากหลายวัฒนธรรมและจากหลายชาติกำเนิดเข้ามาพักอาศัย และต่อมากลุ่มคนที่เข้ามาตั้งรกรากใหม่นี้ได้กลายเป็นผู้นำจากการได้รับชัยชนะ การเข้ายึดครอง การตั้งรกราก หรือจากวิธีอื่น ๆ
ชนเผ่าพื้นเมืองที่มีอยู่น้อยกว่า 5 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนประชากรโลกนี้ ได้ปกป้องรักษา 80 เปอร์เซ็นต์ของระบบนิเวศและความหลากหลายทางระบบนิเวศบนดิน เช่น ในเมืองคัซโก้ (Cuzco) ประเทศเปรู ชุมชนชาวเคชัว (Quechua) ได้อนุรักษ์พันธุ์มันฝรั่ง ซึ่งเป็นพืชหลักดั้งเดิมที่มีความหลากหลายมากกว่า 1,400 ชนิด หากไม่ได้รับการอนุรักษ์พันธุ์พืชที่มีความหลากหลายเอาไว้นี้ก็จะทำให้สูญพันธุ์ไปตลอดกาล
ยังคงมีพันธุ์พืชและพันธุ์สัตว์และแมลงอยู่อีกหลายชนิดซึ่งไม่ได้มีการเก็บบันทึกไว้เป็นหลักฐาน ซึ่งแม้แต่ทางวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่รู้ว่ามี ความหลากหลายทางชีวภาพนี้มีความเป็นไปได้ว่าจะอยู่บนพื้นดินของบรรพบุรุษของชนเผ่าพื้นเมืองเป็นส่วนมาก วัฒนธรรมพื้นเมืองหลายวัฒนธรรมนี้ยังจัดให้อยู่อย่างกลมกลืนกับธรรมชาติเป็นพันปี และมีความรู้อันทรงคุณค่าเพื่ออนุรักษ์และรักษาระบบนิเวศวิทยาเพื่อการสรรสร้างความหลากหลายทางชีวภาพ
อย่างไรก็ดี ชุมชนเผ่าพื้นเมืองในทั่วโลกนี้ได้ละทิ้งการทำมาหากินและละทิ้งแผ่นดินบรรพบุรุษของพวกเขาเนื่องจากการสูญเสียดินแดนให้กับโครงการพัฒนาพื้นดินขนาดใหญ่ หรือ พวกเขากลายเป็นผู้อพยพทางสภาพภูมิอากาศเนื่องด้วยภัยพิบัติทางด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพ ภูมิอากาศ เช่น รัฐอลาสก้า ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นรัฐที่มีชนพื้นเมืองมากที่สุด มีการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลและไฟป่าบีบบังคับให้ชุมชนพื้นเมืองต้องย้ายที่อยู่
จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์หลายศตวรรษอันยาวนานของการล่าอาณานิคมและการกีดกันกลุ่มคนต่าง ๆ เกือบ 3 เท่าของชนเผ่าพื้นเมืองมีแนวโน้มที่จะมีชีวิตอาศัยอยู่อย่างยากจนข้นแค้นเป็นอย่างยิ่งเมื่อเปรียบเทียบกับชนเผ่าที่ไม่ใช่ชาวพื้นเมือง วิกฤตด้านความหลากหลายทางชีวภาพมีความผูกพันธ์กับอนาคตของวัฒนธรรมที่หลากหลายอันเป็นเอกลักษณ์ รวมไปถึงระบบองค์ความรู้ ภาษา และอัตลักษณ์
3. ทำไมเราถึงตกอยู่ในวิกฤติภูมิอากาศและวิกฤตทางนิเวศวิทยา
ในหัวข้อนี้เราจะทำการค้นหาว่า ทำไมบางโลกทัศน์ที่ครอบงำโลกตั้งแต่ศตวรรษที่ผ่านมาได้สร้างทัศนคติเกี่ยวกับธรรมชาติที่เป็นรากเหง้าไปสู่การเกิดวิกฤตทางสภาพภูมิอากาศและวิกฤตทางนิเวศวิทยา
วิกฤตทางสภาพภูมิอากาศและวิกฤตทางนิเวศวิทยาเป็นปัญหาที่ซับซ้อนและเป็นผลมาจากการทับซ้อนในประเด็นทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม โดยหนึ่งในปัจจัยที่เป็นรากเหง้าของความยุ่งยากในการจัดการกับความท้าทายนี้ คือ “โลกทัศน์” บางประเภท
โลกทัศน์เป็นเหมือนแก้วน้ำ 1 คู่ ที่เราใช้มองโลกรอบตัวเรา โลกทัศน์ของเราได้แสดงถึงค่านิยมหลักและความเชื่อของเรา โลกทัศน์นี้กำหนดว่าเราควรจะคิดอย่างไรและควรจะคาดหวังอะไรจากโลกนี้ ซึ่งโลกทัศน์ของเราได้รับอิทธิพลมาจากประสบการณ์ส่วนตัว ความเชื่อและคุณค่าที่เราได้รับสืบทอดมาจากครอบครัวและครูของเรา รวมไปถึงความเชื่อและค่านิยมที่เราได้เติบโตมา โลกทัศน์จึงมีผลต่อความคิดและการกระทำของเราในโลกนี้
ในปัจจุบัน “การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ” เป็นเครื่องชี้วัดความก้าวหน้าและมาตรฐานในการดำรงชีวิต และระดับการพัฒนาของคุณภาพชีวิต อย่างไรก็ดี ความคิดเกี่ยวกับการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจควบคู่ไปกับโลกทัศน์ที่ว่า “มนุษย์ย่อมมีอำนาจเหนือธรรมชาติและย่อมตักตวงผลประโยชน์จากธรรมชาติ” เป็นหัวใจของประเทศที่มีปัญหามลพิษระดับสูง หลายคนเชื่อว่าสิ่งนี้มีรากฐานมาตั้งแต่ 400 ปีที่แล้ว ในช่วงเวลาของยุคการปฏิวัติวิทยาศาสตร์ ซึ่งผู้รู้ต่างเขียนไว้ว่ามนุษย์สูงส่งกว่าธรรมชาติอย่างไร และมนุษย์มีสิทธิที่จะครอบงำธรรมชาติอย่างไร แนวความคิดนี้ได้แพรไปในช่วงเวลาที่ทรงอิทธิพลอย่างมากต่อศตวรรษในระยะหลังและทำให้เกิดกฎหมาย เทคโนโลยี วิถีชีวิต ขนบธรรมเนียมและวัฒนธรรม ซึ่งยังคงปรากฏในประเทศที่ร่ำรวยจนถึงทุกวันนี้ วิถีชีวิตนี้ได้ถูกถ่ายทอดสืบต่อกันมาหรือถูกใช้เป็นกฎเกณฑ์ข้อบังคับให้กับประเทศอื่นทั่วโลก
ตั้งแต่ยุคการปฏิวัติอุตสาหกรรม ความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้ทำให้ประชากรที่อยู่อาศัยในประเทศร่ำรวยออกห่างจากการพึ่งพาธรรมชาติตรง ๆ มากขึ้นกว่าเดิม ประชากรหลาย ๆ คนย้ายเข้าไปอยู่ในเมืองเพื่อทำงานในโรงงานที่พวกเขาใช้เครื่องจักรในการผลิตสิ่งต่าง ๆ แทนที่จะใช้อุปกรณ์ที่ใช้มือในการผลิตและแทนที่จะทำงานในชุมชนของตนเอง ในยุคนี้เทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น รถไฟที่ใช้เครื่องจักรไอน้ำ รถยนต์และหลอดไฟ ได้เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของผู้คนอย่างรวดเร็ว เปรียบได้กับการที่โทรศัพท์มือถือ อุปกรณ์คอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต ได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของคนในปัจจุบันนี้เมื่อเทียบกับวิถีชีวิตเมื่อ 50 ปีที่แล้ว แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีหลาย ๆ อย่างจะมีประโยชน์กับผู้คน เช่น การผลิตยารักษาที่ทันสมัย แต่เทคโนโลยีใหม่ ๆ ก็ก่อให้เกิดการครอบงำและดึงทรัพยากรจากธรรมชาติจากผู้คนอย่างไม่เคยมีมาก่อน
การปฏิวัติทางอุตสาหกรรมทำให้เกิดการสร้างเหมืองแร่พลังงานฟอสซิลขนาดใหญ่ มีการใช้การเผาผลาญพลังงานจากฟอสซิลเป็นพลังงานหลักมามากกว่า 100 ปี และเหตุการณ์นี้ได้นำไปสู่การพัฒนาทางเศรษฐกิจ แต่สิ่งที่ตามมาคือประเทศร่ำรวย เช่น ประเทศสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และประเทศอื่น ๆ ในยุโรป ได้ผลิตปริมาณก๊าซเรือนกระจกมากที่สุดเรื่อยมาตลอด ขณะนี้หลายประเทศ เช่น ประเทศจีนและประเทศอินเดีย ได้ดำเนินรอยตามการพัฒนาของประเทศร่ำรวยนี้ ทำให้ผู้คนจำนวนมากพึ่งพาพลังงานจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิลทุกปีในยุคเศรษฐกิจที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน ประเทศจีนถือเป็นประเทศที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ใหญ่ที่สุดของโลก แต่ประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุดในช่วงเวลาที่ผ่านมา ซึ่งหมายความว่าได้มีการปล่อยปริมาณก๊าซเรือนกระจกมาโดยตลอด โดย 5 ประเทศที่ติดอันดับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุดในโลกนั้น ประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นอันดับ 1 ที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สูงที่สุดต่อประชากร 1 คน
วิกฤตทางภูมิอากาศและวิกฤตทางนิเวศวิทยาเป็นปัญหาในหลาย ๆ ด้าน ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะหาคนใดคนหนึ่งมาอธิบายว่าทำไมวิกฤตนี้ถึงได้เกิดขึ้น หรือทำไมจึงเกิดความล้มเหลวในการพูดถึงปัญหานี้ มันเป็นเรื่องยากมากที่จะให้ผู้คนเข้าใจความยิ่งใหญ่ของวิกฤตทั้งสองด้านนี้ ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่จำกัดความสามารถของคนที่จะแก้ไขปัญหาอย่างเด็ดขาดและเร่งด่วนอย่างที่ควรจะเป็น
วิถีการดำรงชีวิตที่สร้างอันตรายต่อธรรมชาติโดยการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนออกมานี้ได้ฝังลึกอยู่ในสังคมสมัยใหม่ ซึ่งบางคนเรียกวิกฤตทางสภาพภูมิอากาศและทางชีววิทยาว่าเป็นวิกฤตของ “ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และธรรมชาติ” และเพื่อที่จะให้มีอนาคตที่มีความยั่งยืนมากขึ้น เราต้องอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างสันติ และเปลี่ยนระบบการผลิต ระบบการเงินและระบบเศรษฐกิจให้เหมาะสมตาม ในปี 2021 นี้ กลุ่มนักวิจัยได้แยกแยะเหตุผลที่สอดคล้องกัน 9 เหตุผล นั่นคือความรู้โดยรวมของเราที่จะแก้ไขวิกฤตสภาพภูมิอากาศซึ่งเป็นปัญหาที่ไม่สามารถแก้ไขได้ตั้งแต่ 3 ทศวรรษที่ผ่านมาแล้ว กลุ่มนักวิจัยโต้แย้งว่าการที่จะแก้ไขปัญหาได้เพียงพอ เราจำเป็นจะต้องตั้งคำถามต่อโลกทัศน์ที่มาจากสังคมที่ร่ำรวยและสังคมอุตสาหกรรม เราถึงจะแก้ไขวิกฤตสภาพภูมิอากาศนี้ได้
มนุษย์ถือว่าเป็นสัตว์ทางชีววิทยาและโลกก็เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของเรา เราเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติและต้องพึ่งพาธรรมชาติเพื่อความอยู่รอด มากกว่าที่จะอยู่รอดได้โดยการแยกตัวจากธรรมชาติ จุลินทรีย์ในลำไส้ของเราช่วยในการย่อยอาหาร ในขณะที่ตัวอื่น ๆ สร้างส่วนประกอบต่าง ๆ ของร่างกายเรา เช่น ผิวหนัง ผู้ที่ช่วยในการผสมเกสร เช่น ผึ้งและตัวต่อ ช่วยผลิตอาหารที่เรากิน ในขณะที่ต้นไม้และพรรณพืชทั้งหลายดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออไซด์ที่เราขจัดออกจากร่างกายและผลิตอ็อกซิเจนกลับมาให้เราได้หายใจ
ถึงแม้ว่าจะมีการดำเนินการเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาสภาพอากาศมาหลายทศวรรษแล้ว สังคมที่ร่ำรวยยังไม่ได้มีการดำเนินการที่จะคิดถึงวิถีชีวิตที่จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับพลังงานฟอสซิลหรือวิถีชีวิตที่ไม่ขึ้นอยู่กับการใช้การเจริญเติบโตของเศรษฐกิจเป็นสัญลักษณ์ของการพัฒนาและความก้าวหน้า
สิ่งแวดล้อมที่สมบูรณ์นั้นเป็นข้อบังคับเบื้องต้นสำหรับเศรษฐกิจที่ยั่งยืน เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่าการใช้ผลผลิตทางด้านเศรษฐกิจ หรือ ผลผลิตมวลรวมในประเทศ (GDP) เป็นเครื่องวัดการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ต้องเสริมด้วย “หลักความมั่งคั่งอย่างครอบคลุม” ซึ่งหมายถึง ผลรวมของต้นทุนการผลิต ต้นทุนทางธรรมชาติและต้นทุนทางทรัพยากรมนุษย์ โดยต้องคำนึงถึงความสมบูรณ์ของสิ่งแวดล้อม แนวทางนี้จะเป็นมาตรฐานการวัดด้วยว่านโยบายเศรษฐกิจแห่งชาติมีความยั่งยืนสำหรับเยาวชนในวันนี้และในอนาคตหรือไม่
4. การเจรจาระหว่างประเทศ
ผู้นำของโลกจะพบปะกันที่เมืองกลาสโกว์ในปีนี้เพื่อที่จะหารือเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และในประเทศจีนที่ซึ่งจะมีการพูดคุยเกี่ยวกับวิกฤตทางระบบนิเวศวิทยา ในหัวข้อนี้เราจะเรียนรู้ว่าอะไรคือจุดมุ่งหมายของการเจรจาเหล่านี้และจนถึงตอนนี้จุดมุ่งหมายได้บรรลุผลถึงขั้นใดแล้ว
A) การเจรจาเรื่องสภาพภูมิอากาศบรรลุผลถึงขั้นใดแล้ว?
นักวิทยาศาสตร์ได้คาดการณ์ความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่ถูกกระทำโดยมนุษย์มาหลายทศวรรษแล้ว อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC) ได้ถูกลงนามที่เมืองริโอเดอจาเนโร ในปี 1992 และการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (COP) ได้ถูกจัดขึ้นทุก ๆ ปี มาตั้งแต่ปี 1995 จุดประสงค์ของการประชุมนี้ก็เพื่อที่จะเจรจาหาข้อตกลงว่า ควรที่จะทำอะไรเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศและเพื่อที่จะนำเสนอมาตรการที่แต่ละประเทศควรจะนำไปแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ
ในปี 2015 ผู้นำโลกได้รวมตัวกัน ณ กรุงปารีส เพื่อทำการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศครั้งที่ 21 (COP21) ผลการประชุมที่ได้รับในครั้งนั้น คือ ผู้นำโลกได้บรรลุเป้าหมายข้อตกลงในการที่จะแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ โดย 196 ประเทศตกลงที่จะจำกัดภาวะโลกร้อนให้มีอุณหภูมิลดลงต่ำกว่า 2 องศาเซลเซียสหรือไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียส เกือบทุกประเทศทั่วโลกเข้าร่วมตกลงใน “เป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ (NDC)” และได้ให้คำมั่นสัญญาที่จะจำกัดและลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การให้คำมั่นสัญญานี้จะมีการแจ้งรายงานความคืบหน้าทุก ๆ 5 ปี
มีการกำหนดเป้าหมาย 2 เรื่องในข้อตกลงปารีสเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ดังนี้
- ควบคุมอุณหภูมิเฉลี่ยผิวโลกให้เพิ่มขึ้นสูงสุดไม่เกิน 2 องศาเซลเซียส ภายในปี 2100 หรือถ้าเป็นไปได้ให้ไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียส
2. ปล่อยก๊าซเรือนกระจกหรือก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิให้เป็นศูนย์ภายในปี 2050
ถ้าเราสามารถที่จะลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจำนวนมากทั่วโลกภายในปี 2030 ได้ ขั้นตอนต่อไปคือการที่ประเทศทุกประเทศบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกหรือก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิให้เป็นศูนย์ภายในปี 2050 การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) คือแนวคิดในการจัดการเพื่อทำให้การปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ โดยการกำจัดก๊าซเรือนกระจกออกจากชั้นบรรยากาศให้เท่ากับปริมาณที่ปล่อยเข้ามาในชั้นบรรยากาศหรือกำจัดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งมวล ผ่านกระบวนการกำจัดคาร์บอน ซึ่งกระบวนการกำจัดคาร์บอนออกจากชั้นบรรยากาศนี้ ต้องอาศัยป่าไม้ พื้นดิน มหาสมุทร และเทคโนโลยีดักจับคาร์บอนซึ่งยังไม่ได้มีการพัฒนาอย่างเต็มที่ในปัจจุบัน
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้…
- ประเทศจีน ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มขึ้นถึง 80 เปอร์เซ็นต์ระหว่างปี 2005 ถึง 2018 และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มปริมาณก๊าซเรือนกระจกในทศวรรษข้างหน้านี้ เนื่องมาจากนโยบายการพัฒนาทางเศรษฐกิจของประเทศจีน
- สหภาพยุโรปและประเทศสมาชิก กำลังดำเนินการที่จะลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 58 เปอร์เซ็นต์ในปี 2030 โดยเทียบกับฐานปี 1990
- ประเทศอินเดีย ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพิ่มขึ้น 76% ระหว่างปี 2005 ถึง 2017 และเช่นเดียวกับประเทศจีน ประเทศอินเดียมีแนวโน้มที่จะเพิ่มปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจนถึงปี 2030 เนื่องมาจากการพัฒนาทางเศรษฐกิจ
- ประเทศรัสเซียซึ่งเป็นประเทศที่ปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 5 ของโลก ได้ยื่นเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศเป็นครั้งแรกในปี 2020 โดยตั้งมั่นที่จะลดการปล่อยมลพิษลง 30 เปอร์เซ็นต์ภายในปี 2030
- ประเทศสหรัฐอเมริกาได้ให้คำสัญญาที่จะลดการปล่อยมลพิษลง 50-52 เปอร์เซ็นต์ ภายในปี 2030 โดยเทียบกับฐานปี 2005 ซึ่งเป็นช่วงที่การปล่อยมลพิษพุ่งสูงสุด
ประเทศที่มีความตกลงร่วมกันที่จะลดภาวะก๊าซเรือนกระจกจะเป็นตัวตัดสินว่าโลกนี้จะบรรลุเป้าหมายระยะยาวของข้อตกลงปารีสหรือไม่ เพราะถึงแม้ว่าเป้าหมายในปัจจุบันที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสําเร็จลุล่วงไปด้วยดี ในตอนนั้นอุณหภูมิของโลกก็คงจะเพิ่มขึ้นไปที่ 3 องศาเซลเซียส แม้ว่าข้อตกลงปารีสในปี 2015 กำหนดให้ลดอุณหภูมิโลกให้ต่ำกว่า 2 องศาเซลเซียสก็ตาม
เพราะว่าในปัจจุบันเป้าหมายในการลดก๊าซเรือนกระจกของแต่ละประเทศนั้นไม่สามารถบรรลุเป้าหมายตามข้อตกลงปารีสได้ และต้องแจ้งความคืบหน้าทุก ๆ 5 ปีต่อองค์การสหประชาชาติ ซึ่งจุดประสงค์ของข้อตกลงปารีสนี้ก็เพื่อที่จะให้แต่ละประเทศตั้งเป้าหมายให้สูงขึ้นในแต่ละปีเท่าที่จะเป็นไปได้ตามกรอบของข้อตกลง โดยแต่ละประเทศตั้งเป้าหมายที่แตกต่างกันไปในแบบของตนเอง เช่น สหภาพยุโรปได้แสดงเจตนารมณ์ที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกถึง 55 เปอร์เซ็นต์ภายในปี 2030 และสหราชอาณาจักรมุ่งที่ 78% ภายในปี 2035 โดยประเทศฝรั่งเศสและสหราชอาณาจักรยังได้กำหนดให้เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2050 เป็นข้อบังคับทางกฎหมาย ประเทศญี่ปุ่น ประเทศแอฟริกาใต้ ประเทศอาร์เจนตินา ประเทศเม็กซิโกและประเทศในสหภาพยุโรป ร่วมกันประกาศถึงเจตนารมณ์ที่จะบรรลุการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เป็นศูนย์ภายในปี 2050 ประเทศจีนให้คำมั่นสัญญาที่จะบรรลุการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่สูงที่สุดแค่ถึงปี 2030 ก่อนที่จะเปลี่ยนไปสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เป็นศูนย์ภายในสิ้นปี 2060
หลังจากที่ได้มีข้อตกลงปารีส เราได้เห็นถึงความก้าวหน้าอยู่บ้าง แต่อย่างไรก็ดี ตอนนี้ยังไม่มีการขับเคลื่อนที่รวดเร็วพอ การวิเคราะห์เมื่อไม่นานนี้จากองค์การสหประชาชาติได้สรุปว่า หากแม้ทุกประเทศบรรลุเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกของตน อุณหภูมิก็อาจจะยังเพิ่มสูงขึ้นไปที่ 2.7 องศาเซลเซียสในช่วงท้ายของศตวรรษ
ในอัตราปัจจุบัน ภาวะโลกร้อนจะเข้าถึงระดับ 1.5 องศาเซลเซียสภายในปี 2040 หรืออาจจะเร็วกว่านี้ และจะมีแนวโน้มที่อุณหภูมิของโลกจะเพิ่มขึ้น ถ้ายังไม่มีการลงมือทำอย่างเร่งด่วน ได้มีหลักฐานแสดงให้เห็นว่าความเสี่ยงที่เกิดจากการที่อุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้นถึง 2 องศาเซลเซียสนั้นยิ่งใหญ่กว่าที่เราเข้าใจก่อนหน้านี้
หลังจากที่มีการประชุม COP21 รายงาน 2 ฉบับจากคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IPCC) ในปี 2018 และ 2021 เน้นย้ำว่าแม้จะเป็นความแตกต่างที่อุณหภูมิ 1.5 องศาเซลเซียสและ 2 องศาเซลเซียสที่เพิ่มขึ้น แต่การสูญเสียชีวิตและการทำมาหากินของผู้คนนับล้าน จะเกิดขึ้นตามมาและยิ่งไปกว่านั้นจะเกิดผลกระทบอย่างเลวร้ายเมื่อภาวะโลกร้อนสูงขึ้นไปอีก
งานวิจัยได้แสดงให้เห็นว่า โรงงานผลิตเชื้อเพลิงฟอสซิลได้ทำการล็อบบี้รัฐบาลเพื่อที่จะทำให้นโยบายเกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศทั่วโลกไม่เกิดผลสำเร็จ ในขณะเดียวกันก็อ้างว่าตนสนับสนุนความตกลงปารีสในการที่จะลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกลง การล็อบบี้ทางการเมืองโดยมุ่งเน้นถึงผลประโยชน์ของพลังงานฟอสซิลชี้ให้เห็นว่า ทำไมข้อตกลงของปารีสไม่ได้ชี้ชัดในเรื่องของการลดปริมาณก๊าซคาร์บอนหรือการลดปริมาณการใช้พลังงานฟอสซิล ถึงแม้ว่าหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ได้ชี้ว่าการที่จะรักษาระดับภาวะโลกร้อนให้อยู่ที่อุณหภูมิ 1.5 ถึง 2 องศาเซลเซียสนั้น จำเป็นต้องให้พลังงานฟอสซิลส่วนใหญ่คงอยู่ใต้พื้นดิน
ยังมีอะไรที่มากกว่านี้อีก คือ ประเทศที่ส่งออกพลังงานฟอสซิลหลายประเทศได้ทำการขัดขวางกระบวนการตัดสินใจ โดยยืดเยื้อการเจรจาและเพิ่มความตึงเครียดทางการเมืองให้รุนแรงขึ้น และพยายามหลีกเลี่ยงการอ้างอิงหลักฐานและเอกสารทั้งหลายที่กล่าวว่า พลังงานฟอสซิลเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ประเทศที่ร่ำรวยจากการผลิตและกักตุนพลังงานฟอสซิล เช่น ประเทศซาอุดิอาระเบีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศคูเวต และประเทศรัสเซีย มีชื่อเสียงในทางลบโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการขัดขวางการเจรจาและการอภิปรายโต้แย้งด้วยหลักวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ
ประเทศที่ร่ำรวยไม่ได้ทำการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างเด่นชัด ทั้งในเรื่องของการลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกอย่างจริงจังและในเรื่องของการจัดหาเงินทุนช่วยเหลือที่เพียงพอ ความล้มเหลวจากการกระทำของประเทศที่ร่ำรวยที่กล่าวมานี้ได้สร้างความไม่ไว้วางใจ ซึ่งทำให้กลุ่มผลประโยชน์มหาศาล อันได้แก่อุตสาหกรรมพลังงานฟอสซิลใช้วิธีไปตั้งหลักฝังรากการสร้างก๊าซคาร์บอนในระดับสูงในประเทศที่กำลังพัฒนาบางประเทศแทน แทนการใช้ทางเลือกอื่น ๆ ที่ใช้คาร์บอนต่ำ
การขาดการกระทำที่ชัดเจนและรวดเร็วในเรื่องของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จะส่งผลให้รัฐบาลทั่วโลกเกิดค่าใช้จ่ายอย่างมหาศาล มีการประเมินว่าผลกระทบจากการกระทำของมนุษย์ที่ทำให้เกิดสภาพอากาศแปรปรวนสุดขั้วจะก่อให้เกิดค่าใช้จ่าย 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อวัน ในปี 2030 นอกเหนือไปจากค่าใช้จ่ายนี้แล้ว เหตุการณ์และรูปแบบของสภาพภูมิอากาศจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องต่อไป และจะมีผลกระทบในทางลบต่อสุขภาพของมนุษย์ การทำมาหากิน อาหาร น้ำ ความหลากหลายทางด้านชีวภาพและการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ
B) การเจรจาเกี่ยวกับความหลากหลายทางชีวภาพสำเร็จถึงขั้นไหนแล้ว
ความหลากหลายทางชีวภาพมีคุณค่าทางด้านสังคม ด้านเศรษฐกิจและด้านชีววิทยาเป็นอย่างมาก แต่เท่าที่ผ่านมาเราได้ให้ความสำคัญกับคุณค่าทางด้านเศรษฐกิจเท่านั้น
อนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ (CBD) ได้เปิดให้มีการลงนามในสัญญาที่เมืองริโอเดอจาเนโร ในปี 1993 อนุสัญญานี้ได้สร้างความตระหนักเป็นครั้งแรกในฐานะกฎบัตรระหว่างประเทศว่าด้วยเรื่องการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งเป็นสิ่งที่มนุษย์ควรจะให้ความสำคัญร่วมกัน ข้อตกลงในสัญญานี้ได้แก่เรื่องระบบนิเวศวิทยา สายพันธุ์และทรัพยากรทางพันธุกรรมอันได้แก่เมล็ดพันธุ์พืช ในปี 2010 ผู้ร่วมประชุมในสัญญานี้ได้ปรับแผนยุทธศาสตร์เพื่อความหลากหลายทางชีวภาพสำหรับปี 2011 ถึงปี 2020 เป็นกรอบระยะเวลา 10 ปี เพื่อให้ทุกประเทศได้ปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพและผลประโยชน์ที่มนุษย์ได้รับ ได้มีการจัดตั้งเป้าหมายทางด้านความหลากหลายทางชีวภาพอยู่ 20 เป้าหมาย หรือที่เรียกว่า เป้าหมายความหลากหลายทางชีวภาพแห่งไอจิ (Aichi Biodiversity Targets) ซึ่งเป็นหนึ่งในแผนยุทธศาสตร์นี้ อย่างไรก็ดี 20 เป้าหมายทั้งหมดนี้ไม่สามารถบรรลุได้ตามกำหนดในปี 2020 ผลวิเคราะห์ได้แสดงให้เห็นว่า ยังมีความก้าวหน้าอยู่น้อยมากในการที่จะมุ่งแก้ไขสาเหตุของการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งยังคงทำให้สถานะของความหลากหลายทางชีวภาพเสื่อมลง ในปี 2021 การประชุมร่วมกันของอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพครั้งที่ 15 (CBD COP15) จะจัดขึ้นที่เมืองคุนหมิง ประเทศจีน และจะสิ้นสุดลงในปี 2022 เพื่อที่จะหาข้อตกลงในเรื่องกรอบการทำงานและเป้าหมายในเรื่องของความหลากหลายทางชีวภาพ
นอกเหนือไปจากความหลากหลายทางชีวภาพแล้ว ยังมีอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพอื่น ๆ อีก 5 ฉบับ คือ อนุสัญญาแรมซาร์, อนุสัญญาว่าด้วยชนิดพันธุ์ที่มีการเคลื่อนย้ายถิ่น, อนุสัญญาไซเตส, สนธิสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยทรัพยากรพันธุกรรมพืชเพื่ออาหารและการเกษตร และอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลก อย่างไรก็ดียังไม่มีเป้าหมายใดในเรื่องการตกลงระหว่างประเทศที่สำเร็จอย่างเต็มที่ ถึงแม้ว่าจะมีการประชุมระหว่างประเทศอย่างมากมายในเรื่องของความสูญเสียทางด้านความหลากหลายทางชีวภาพ ดังนั้นจึงสำคัญยิ่งสำหรับรัฐบาลที่ควรจะเริ่มตระหนักถึงความสัมพันธ์ระหว่างความเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศและความสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ โดยเริ่มพัฒนาเป้าหมายและการกระทำร่วมกันเพื่อที่จะแก้ไขปัญหาใน 2 ประเด็นนี้
5. ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและวิกฤตทางนิเวศวิทยาในด้าน…
ในหัวข้อนี้เราจะศึกษาระดับของผลกระทบที่เกิดความเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศและวิกฤตทางชีววิทยาที่มีต่อสุขภาพและความเป็นอยู่ของมนุษย์ รวมถึงระบบนิเวศวิทยาและความหลากหลายทางชีวภาพทั่วทุกมุมโลก ผลกระทบเหล่านี้จะรุนแรงมากน้อยเพียงใดนั้นขึ้นอยู่กับการลงมือแก้ปัญหาในปัจจุบัน
…สุขภาพและการดำรงชีวิตของมนุษย์
การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศได้ทำลายสุขภาพของมนุษย์ มนุษย์เกิดความเครียดที่เป็นผลมาจากสภาพภูมิอากาศ ซึ่งนำไปสู่ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของโรคภัยไข้เจ็บและและภาวะทุพโภชนาการอันเนื่องมาจากสภาพภูมิอากาศที่แปรปรวนอย่างรุนแรง เช่น ความแห้งแล้ง พายุเฮอริเคนและอุทกภัย ความเสี่ยงนี้เพิ่มขึ้นพร้อมกับภาวะโลกที่ร้อนขึ้น
การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศยังทำให้เกิดโรคติดต่อเพิ่มขึ้นจากสัตว์และแมลงไปสู่มนุษย์ เช่น โรคมาลาเรียโรคไข้เลือดออก ซึ่งมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นเมื่ออุณหภูมิของโลกร้อนเพิ่มจาก 1.5 องศาเซลเซียสไปถึง 2 องศาเซลเซียส รวมไปถึงการเพิ่มของแหล่งเพาะพันธุ์เชื้อโรคที่เป็นโรคระบาด จากการศึกษาพบว่าการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศมีความเชื่อมโยงกับการเพิ่มขึ้นของโรคไลม์หรือโรคระบาดที่เกิดจากการกัดของเห็บที่ติดเชื้อแบคทีเรียในประเทศแคนาดา
โรคระบาดสามารถถูกจำกัดได้ด้วยวิธี “สุขภาพหนึ่งเดียว” โรคที่ติดต่อข้ามสายพันธุ์จากสัตว์มายังมนุษย์ เช่น โควิด-19 สามารถป้องกันได้ด้วยการจำกัดปฏิสัมพันธ์ระหว่างสัตว์ป่ากับมนุษย์หรือสัตว์ป่ากับปศุสัตว์ โดยวิธีสุขภาพหนึ่งเดียวนี้ ผู้เชี่ยวชาญจากสาขาต่าง ๆ เช่น สาธารณสุข, สัตวศาสตร์ พฤกษศาสตร์ และด้านสิ่งแวดล้อม ได้ร่วมมือกันคิดค้นเพื่อหาแนวทางในการพัฒนาสุขภาพของมนุษย์ให้ดีขึ้น รวมทั้งป้องกันหายนะทางสุขภาพต่าง ๆ
การหยุดยั้งการทำลายระบบนิเวศ เช่น การทำลายป่าไม้ จะช่วยปกป้องพืชพรรณที่มีคุณค่าต่อการวิจัยทางการแพทย์ และยังช่วยลดความเสี่ยงของโรคระบาดที่เกิดจากสัตว์สู่คน
ภูมิอากาศมีผลต่อการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจในทั่วทุกภูมิภาค โดยประเทศในเขตร้อนและประเทศกึ่งเขตร้อนในซีกโลกใต้จะได้รับผลกระทบมากที่สุดทางเศรษฐกิจเนื่องมาจากการการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ถ้าหากอุณหภูมิของโลกสูงขึ้นจาก 1.5 ไปถึง 2 องศาเซลเซียส เศรษฐกิจจะได้รับผลกระทบมากยิ่งขึ้น เมื่อปี 2015ประชากรในแถบนี้ได้สัมผัสถึงผลกระทบจากอุณหภูมิที่สูงขึ้นมากกว่า 1.5 องศาเซลเซียสแล้วอย่างน้อยหนึ่งฤดูกาลต่อปี ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส่งผลต่อประชากรจนที่สุดและมีความเปราะบางที่สุดเป็นอย่างมาก การจำกัดภาวะโลกร้อนให้ต่ำกว่า 1.5 หรือ 2 องศานี้ จะช่วยลดจำนวนประชากรที่ต้องเผชิญกับความเสี่ยงของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้ถึงหลายร้อยล้านคนภายในปี 2050
เรากำลังจะได้เห็นหลักฐานที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับการอพยพของผู้คนจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ข้อมูลที่ได้จากหน่วยงานผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติเผยว่า คนไร้สัญชาติและคนพลัดถิ่นคือด่านหน้าที่จะเผชิญกับปัญหาวิกฤตสภาพภูมิอากาศ ประชากรส่วนมากอาศัยอยู่ใน “จุดความร้อน” (climate hotspot) ซึ่งเป็นจุดที่ดาวเทียมตรวจพบค่าความร้อนสูงผิดปกติ ที่ซึ่งประชากรเหล่านี้ขาดแหล่งทรัพยากรที่จะนำมาใช้ในการปรับตัวต่อสภาพแวดล้อมที่อันตรายเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งความอันตรายเหล่านี้มีผลมาจากความรุนแรงและความถี่ของเหตุการณ์ทางสภาพภูมิอากาศ ได้แก่ ภาวะฝนตกอย่างหนักอย่างผิดปกติ สภาพความแห้งแล้งที่ยืดเยื้อ การที่ผืนดินกลายเป็นทะเลทราย ความเสื่อมโทรมของสภาพแวดล้อม หรือการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลและพายุไซโคลน ซึ่งเป็นสาเหตุให้ประชากรโดยเฉลี่ยมากกว่า 20 ล้านคน ต้องย้ายไปอาศัยอยู่ในบริเวณอื่นในประเทศของตนเองหรืออพยพออกจากประเทศของตนเอง
ในปลายปี 2020 นี้ ประมาณ 7 ล้านคนใน 104 ประเทศและอาณาเขต (ดินแดนเขตการปกครองที่ยังไม่ได้รับเอกราชของประเทศใดประเทศหนึ่ง) จะต้องอาศัยอยู่กันอย่างกระจัดกระจายซึ่งเป็นผลมาจากภัยพิบัติที่เกิดขึ้นในปี 2019 และในปีก่อนหน้านี้ 5 ประเทศหลัก ๆ ซึ่งมีจำนวนของผู้ลี้ภัยอันเนื่องมาจากภัยพิบัติภายในประเทศที่มากที่สุด ได้แก่ ประเทศอัฟกานิสถาน (1.1 ล้านคน) อินเดีย (929,000 คน), ปากีสถาน (806,000 คน), เอธิโอเปีย (633,000 คน) และประเทศซูดาน (454,000 คน) ในปี 2017 ชาวอเมริกัน 1.5 ล้านคนต้องทำการอพยพอย่างถาวรและชั่วคราวไปยังเมืองอื่น ๆ ในประเทศของตนเนื่องมาจากภัยพิบัตินี้
…ความมั่นคงทางอาหาร
ความมั่นคงทางอาหาร หมายถึง การที่ประชากรทั้งหมดสามารถเข้าถึงการบริโภคอาหารได้อย่างปลอดภัยและถูกต้องตามหลักโภชนาการ พร้อมทั้งตอบสนองต่อความชอบและความต้องการอาหาร เพื่อชีวิตที่มีชีวิตชีวาและมีสุขภาพดี ความมั่นคงทางอาหารถูกคุกคามจากการสูญเสียแมลงผสมเกสรและการสูญเสียผืนดินที่อุดมสมบูรณ์ซึ่งเป็นผลที่มาจากวิกฤตทางนิเวศวิทยา และความสามารถของโลกในการสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นด้านอาหารที่ถูกโภชนาการนั้นจะลดลง เนื่องมาจากความเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง
การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศมีผลกระทบต่อความมั่นคงทางอาหารจากภาวะโลกร้อน การเปลี่ยนแปลงของรูปแบบของฝน และการเพิ่มขึ้นของสภาพอากาศที่เลวร้าย การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศยังทำให้ผลผลิตที่เก็บเกี่ยวได้ลดลงในบางพื้นที่และเพิ่มขึ้นในบางพื้นที่ในปีที่ผ่านมา การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศนี้มีผลกระทบต่อความมั่นคงทางอาหารในพื้นที่ที่แห้งแล้งโดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศแอฟริกาและภูมิภาคท้องถิ่นตามแถบภูเขาสูงในทวีปเอเชียและทวีปอเมริกาใต้
ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงอื่น ๆ และองค์ประกอบด้านการเมืองและสังคม ตัวอย่างของผลกระทบนี้เกิดขึ้นในบางพื้นที่ของแอฟริกาตะวันตก พื้นที่ชื่อว่าซาเฮล (Sahel) ในประเทศแอฟริกาเกิดสภาพการกลายเป็นทะเลทราย ส่งผลให้คนเลี้ยงวัวอพยพพร้อมกับสัตว์ที่เขาเลี้ยงไปทางใต้เพื่อที่จะหาทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ เหตุการณ์นี้นำไปสู่ความขัดแย้งอย่างรุนแรงระหว่างคนเลี้ยงสัตว์และชาวนาเพราะพืชผลของเขาถูกทำลายโดยวัวของคนเลี้ยงวัวที่เร่ร่อนบุกรุกเข้าไปในนาของเขา ผลที่ตามมาคือนาและพื้นที่ทางการเกษตรถูกทิ้งร้าง ทำให้เกิดการขาดแคลนอาหารและความมั่นคงทางอาหารถูกคุกคาม
อาหารที่เคยหามาได้ก็จะลดปริมาณลงเมื่อภาวะโลกร้อนอยู่ที่ 2 องศาเซลเซียส เมื่อเทียบกับ 1.5 องศาเซลเซียส และปริมาณอาหารจะลดลงมากกว่านี้ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิที่สูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในดินแดนซาเฮล (Sahel) ในประเทศแอฟริกา, แอฟริกาใต้, แถบเมดิเตอร์เรเนียน, ยุโรปกลางและป่าอเมซอน ในทวีปอเมริกาใต้ รวมถึงปริมาณผลผลิตที่น้อยลงของข้าวโพด ข้าวบาร์เลย์ และธัญพืช ในบริเวณทางใต้ของทะเลทรายซาฮารา เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อเมริกากลางและอเมริกาใต้
ผลผลิตทางปศุสัตว์และทางเกษตรกรรมยังมีแนวโน้มที่จะลดลงและอาจจะถูกละทิ้งอย่างสิ้นเชิงในพื้นที่ของยุโรปใต้และดินแดนแถบเมดิเตอร์เรเนียนเนื่องมาจากผลกระทบทางลบที่เพิ่มขึ้นของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
มีการคาดการณ์ว่าการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกจะมีผลกระทบต่อการทำปศุสัตว์ กล่าวคือยิ่งอุณหภูมิสูงขึ้น ยิ่งทำให้เกิดผลกระทบต่อการผลิตอาหารสัตว์ การแพร่พันธุ์ของเชื้อโรคและการมีแหล่งน้ำที่เพียงพอต่อการเลี้ยงสัตว์ มีหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศมีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงของศัตรูพืชทางการเกษตรและโรคทางการเกษตร
ความเสี่ยงของการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศที่มีต่อความมั่นคงทางอาหารและการเข้าถึงแหล่งอาหารจะสูงขึ้นที่อุณหภูมิ 1.2 ถึง 2.5 องศาเซลเซียส และสูงขึ้นมากเมื่ออุณหภูมิขึ้นไปถึง 3-4 องศา โดยในระดับอุณหภูมิ 4 องศาจะเข้าสู่ภาวะหายนะ การเพิ่มขึ้นของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เข้มข้นคาดว่าจะนำไปสู่การลดลงของปริมาณโปรตีนและปริมาณสารอาหารที่มีอยู่ในธัญพืชหลัก ๆ ที่สำคัญซึ่งจะนำไปสู่การลดลงของปริมาณอาหารและความมั่นคงด้านทางอาหาร
…ความมั่นคงด้านทรัพยากรน้ำ
ความมั่นคงด้านทรัพยากรน้ำวัดจากปริมาณน้ำที่มี ความต้องการในการใช้น้ำและคุณภาพของแหล่งน้ำ
การเบียดเบียนระบบนิเวศทำให้เกิดวิกฤตทางนิเวศวิทยาส่งผลให้เกิดการขาดแคลนน้ำและความเสื่อมโทรมของแหล่งน้ำจืด
80% ของประชากรโลกได้รับผลกระทบจากการคุกคามที่รุนแรงต่อความมั่นคงด้านทรัพยากรน้ำ ชัดเจนว่าการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศมีผลกระทบต่อปริมาณน้ำและคุกคามความมั่นคงของทรัพยากรน้ำเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงของรูปแบบของฝน โดยทั่วไปแล้วปริมาณฝนเพิ่มขึ้นในบริเวณเขตร้อนและพื้นที่ราบสูงและกำลังลดปริมาณลงในพื้นที่กึ่งเขตร้อนเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ ในปี 2017 ประชากรประมาณ 2.2 พันล้านคนไม่มีน้ำดื่มที่ปลอดภัยไว้ใช้บริโภค ประชากรมากกว่า 2 พันล้านทั่วโลกที่อาศัยอยู่ในเขตลุ่มน้ำได้รับผลกระทบจากความต้องการน้ำสะอาดมากถึง 40 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณน้ำที่มี ประเทศในทวีปแอฟริกาและเอเชียมีความต้องการใช้น้ำเกิน 70% ของปริมาณน้ำที่มี
การสูญเสียการเข้าถึงแหล่งน้ำเป็นปัญหาอย่างหนึ่งด้านความมั่นคงทางอาหาร เนื่องจากการใช้น้ำจืดทั่วโลกถูกนำมาใช้กับการเกษตรหรือการชลประทาน ทำให้ปัจจุบันเกิดการขาดแคลนแหล่งน้ำจืดมากถึง 70 เปอร์เซ็นต์
ประชากรประมาณ 1.2 พันล้านคนอาศัยอยู่ในบริเวณที่เกิดการขาดแคลนน้ำอย่างรุนแรง และการขาดแคลนน้ำก็ส่งผลให้การเกษตรเกิดปัญหา ในช่วงศตวรรษที่ผ่านมา การเพิ่มขึ้นของประชากร กิจกรรมทางการเกษตรและอุตสาหกรรมและมาตรฐานการใช้ชีวิตได้ก่อให้เกิดความต้องการน้ำมากขึ้นทั่วโลก
พื้นที่ชุ่มน้ำได้สูญหายไปทั่วโลกซึ่งเป็นการคุกคามคุณภาพของน้ำในทุกภูมิภาคทั่วโลก
…ความหลากหลายทางชีวภาพบนพื้นดินและระบบนิเวศ
ระบบนิเวศคือระบบที่ค้ำจุนชีวิตของคนในโลกสำหรับเผ่าพันธุ์มนุษย์และชีวิตอื่น ๆ ทั้งหมด หลายทศวรรษที่ผ่านมามนุษย์ได้ทำการเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศวิทยาตามธรรมชาติอย่างรวดเร็ว การเปลี่ยนแปลงนี้ก่อให้เกิดประโยชน์กับมนุษย์ในด้านชีวิตความเป็นอยู่ เช่น การมีอายุขัยที่เพิ่มขึ้นและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ แต่อย่างไรก็ดีไม่ใช่คนทุกกลุ่มในโลกได้รับประโยชน์จากกระบวนการนี้และมีประชากรมากมายได้รับอันตราย สิ่งที่โลกต้องจ่ายสำหรับการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เริ่มจะเห็นได้ชัดขึ้นเรื่อย ๆ เศรษฐกิจความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและความเจริญก้าวหน้าของสังคมกลายเป็นภาระที่โลกต้องจ่ายเพื่อจะรักษาความเป็นอยู่ที่ดีของมนุษย์
จากที่ได้กล่าวมาแล้วในหัวข้อที่ 2 สายพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตกำลังจะสูญพันธุ์ในอัตราที่มากกว่าปกติถึง 100 เท่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทำให้มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นในเรื่องของการสูญพันธุ์ของสายพันธุ์ของสิ่งมีชีวิต โดยปริมาณ 20 ถึง 30 เปอร์เซ็นต์ของสายพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตของพืชและสัตว์มีความเสี่ยงที่จะสูญพันธุ์ที่เพิ่มขึ้น ภายใต้ภาวะโลกร้อนที่ 2 องศา หรืออาจจะมีเปอร์เซ็นต์การสูญพันธุ์เพิ่มขึ้นถ้าภาวะโลกร้อนเพิ่มขึ้นกว่า 2 องศา มีการประเมินว่ากว่าครึ่งล้านของสายพันธุ์สิ่งมีชีวิตจะไม่มีที่อยู่อาศัยสำหรับการดำรงชีวิตในระยะยาวและเริ่มมีการสูญพันธุ์ในระยะเริ่มต้นมากมายภายในช่วงทศวรรษที่จะมาถึง ถ้าไม่มีการรักษาพื้นที่อยู่อาศัยของสายพันธุ์สิ่งมีชีวิต
มีการคาดการณ์ว่าหากระดับอุณหภูมิโลกร้อนถึง 2 องศา 13 เปอร์เซ็นต์ของระบบนิเวศจะมีการเปลี่ยนแปลงทางภูมิทัศน์หนึ่งไปยังภูมิทัศน์อื่น ๆ เช่น ป่าสนเปลี่ยนไปเป็นป่าสะวันนา และการเปลี่ยนแปลงจะมากถึง 35 เปอร์เซ็นต์ หากอุณหภูมิโลกขึ้นไปถึง 4 องศา มีความเป็นไปได้อย่างสูงว่าการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกจะส่งผลให้เขตภูมิอากาศต่าง ๆ เปลี่ยนแปลง อากาศร้อนรูปแบบใหม่จะเกิดขึ้นในเขตร้อน ส่งผลให้ฤดูไฟป่ายาวขึ้น รวมถึงความเสี่ยงที่จะเกิดไฟป่ามากขึ้นในดินแดนที่มักประสบกับภัยแล้ง
ในปี 2020 มีหน้าดินน้อยกว่า 1 ส่วน 4 ของโลกที่ยังคงใช้ประโยชน์ตามธรรมชาติได้โดยที่ระบบความหลากหลายทางชีวภาพไม่ถูกทำลาย โดย 1 ส่วน 4 ของหน้าดินนี้ตั้งอยู่ในบริเวณที่เป็นภูเขา บริเวณแห้งแล้งและบริเวณที่หนาวเย็น ดังนั้นจึงมีปริมาณประชากรอาศัยอยู่น้อย ทำให้การเปลี่ยนแปลงหน้าดินเกิดขึ้นไม่มาก
…มหาสมุทรและสิ่งมีชีวิตทางทะเล
มหาสมุทรเป็นที่อยู่อาศัยของความหลากหลายทางชีวภาพเริ่มจากจุลินทรีย์ไปถึงสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในทะเลและระบบนิเวศวิทยาที่หลากหลาย โดย 2 ใน 3 ของมหาสมุทรทั่วโลกกำลังได้รับผลกระทบจากการกระทำของมนุษย์ที่ร้ายแรง คือ การจับปลามากเกินไปหรือการประมงเกินขนาด การติดตั้งระบบสาธารณูปโภคและการขนส่งแถบชายฝั่งและนอกชายฝั่ง ภาวะความเป็นกรดในมหาสมุทรขยะและการไหลบ่าของแร่ธาตุลงสู่มหาสมุทร โดย 1 ใน 3 ของปลาทะเลในโลกถูกล่ามากเกินไปในปี 2015 ทำให้เกิดการขาดแคลนปริมาณปลาทะเลที่กักเก็บไว้สำหรับบริโภค ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงทางอาหาร แร่ธาตุจากปุ๋ยที่ไหลลงไปสู่ระบบนิเวศวิทยาชายฝั่งทำให้เกิด “พื้นที่มรณะ” (dead zone) มากกว่า 400 แห่ง รวมแล้วมากกว่า 245,000 กิโลเมตร ซึ่งใหญ่กว่าขนาดของประเทศเอกวาดอร์หรือประเทศอังกฤษ โดยในปี 2021 เกิดการรั่วไหลของปุ๋ยจากโรงงานปุ๋ยที่ถูกทิ้งร้างในรัฐฟลอริดา ซึ่งทำให้เกิดดอกสาหร่ายที่เป็นปรากฏการณ์น้ำสีเขียวที่เป็นอันตรายต่อมหาสมุทรทำให้สัตว์น้ำตายไปหลายตัน
พลาสติกในมหาสมุทรเพิ่มขึ้นเป็น 10 เท่ามาตั้งแต่ปี 1980 คิดเป็น 60 ถึง 80 เปอร์เซ็นต์ของขยะที่ถูกพบในมหาสมุทรทั่วโลก พลาสติกกระจายอยู่ทุกมหาสมุทรในโลกนี้ ทั้งบริเวณที่ลึกมาก ทั้งบริเวณกระแสน้ำและมวลน้ำต่าง ๆ ขยะพลาสติกก่อให้เกิดผลกระทบทางด้านชีววิทยา ได้แก่ การเสียชีวิตของสัตว์น้ำและสัตว์อื่น ๆ จากการที่พลาสติกติดพันตามตัวหรือการกินพลาสติกเข้าไป ความเสี่ยงที่จะเกิดการสูญเสียที่ไม่สามารถเอากลับคืนมาได้ของระบบนิเวศวิทยาทางน้ำและทางชายฝั่งทะเล ได้แก่ หญ้าทะเล ป่าเครป (ป่าใต้พื้นน้ำซึ่งพบในเขตประเทศอบอุ่น) ซึ่งความเสี่ยงนี้จะเพิ่มขึ้นหากอุณหภูมิโลกร้อนขึ้น ในขณะนี้ มหาสมุทรในโลกนี้ได้ดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ถูกปล่อยออกมาถึง 30% รวมถึงความร้อนส่วนเกินในชั้นบรรยากาศโลกซึ่งนำไปสู่อุณหภูมิที่สูงขึ้นของน้ำทะเล โดยตั้งแต่ปี 1993 อัตราอุณหภูมิของน้ำทะเลได้เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า ซึ่งส่งผลให้แนวปะการังถูกทำลายและเกิดการสูญพันธุ์ของสัตว์น้ำ
แนวประการังนั้นมีความเปราะบางอย่างมากต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศและมีการคาดการณ์ว่าแนวประการังจะลดลง 10 ถึง 30 เปอร์เซ็นต์หากอุณหภูมิโลกสูงขึ้น 1.5 องศา และจะเหลือน้อยกว่า 1 เปอร์เซ็นต์หากอุณหภูมิโลกขึ้นไปถึง 2 องศา นั่นหมายความว่า 99 เปอร์เซ็นต์ ของแนวปะการังจะหายไปหากอุณหภูมิโลกขึ้นไปถึง 2 องศา การกระจุกตัวกันของความร้อนในมหาสมุทรจะยังคงเกิดขึ้นในหลายศตวรรษข้างหน้าและจะส่งผลต่อคนรุ่นหลัง
ประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ของประชากรทั่วโลกอาศัยห่างจากชายฝั่งในระยะ 100 กิโลเมตร (60 ไมล์) และประชากรโลกประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์อาศัยอยู่บริเวณชายฝั่งที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลไม่ถึง 10 เมตร การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศส่งผลให้ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้น มหาสมุทรร้อนมากขึ้น รวมถึงน้ำทะเลกลายเป็นกรดมากขึ้น ซึ่งเป็นสาเหตุมาจากการได้รับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ โดยแม้ว่าอุณหภูมิโลกจะถูกรักษาให้อยู่ในระดับต่ำกว่า 2 องศาเซลเซียส ผู้คนในทุกภูมิภาคทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งชุมชนที่อยู่อาศัยอยู่ตามชายฝั่งทะเลนั้น ก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับสภาพการเปลี่ยนแปลงของมหาสมุทรในโลก
ผลกระทบที่เกิดจากอุณหภูมิของมหาสมุทรที่สูงขึ้น คือ สัตว์น้ำทะเลหลายสายพันธุ์ต้องเปลี่ยนพฤติกรรมของตัวเองและเปลี่ยนที่อยู่อาศัย ทำไมต้องมีปฏิสัมพันธ์กับสายพันธุ์อื่น ๆ ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เกิดการหยุดชะงักของระบบนิเวศวิทยาและการเพิ่มขึ้นของความเสี่ยงของโรคระบาด
การเปลี่ยนแปลงหลายอย่างที่เกิดจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในอดีตและในอนาคตจะเป็นความเสียหายที่ไม่สามารถย้อนกลับมาได้ในอีกหลายพันปีข้างหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปลี่ยนแปลงของการไหลเวียนของมหาสมุทร ธารน้ำแข็ง และระดับน้ำทะเลของโลก
6. สถานการณ์และแนวทางต่าง ๆ
สถานการณ์จำลองเกี่ยวกับการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิและแนวทางการบรรเทาปัญหาสภาพภูมิอากาศสำหรับอนาคตมีอะไรบ้าง รวมถึงมีความท้าทายและความไม่แน่นอนอย่างไร
A. แบบจำลองภูมิอากาศและการเปลี่ยนแปลงที่คาดการณ์ด้านการปล่อยก๊าซมลพิษและอุณหภูมิชั้นบรรยากาศ
แบบจำลองภูมิอากาศ เป็นการสร้างแบบจำลองที่ซับซ้อนจากคอมพิวเตอร์เพื่อนำมาใช้วิเคราะห์ผลกระทบในอนาคตของการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากการปล่อยก๊าซพิษเข้าสู่ภูมิอากาศของโลก แบบจำลองเหล่านั้นยังสามารถนำมาใช้กับการค้นหาว่านโยบายและเทคโนโลยีต่าง ๆ สามารถนำมาใช้เพื่อบรรเทาปัญหาด้านภูมิอากาศได้อย่างไร
การบรรเทาการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศหมายถึงการพยายามในการลดหรือป้องกันการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
รายงานฉบับล่าสุดของ IPCC ได้แจ้งถึง 5 สถานการณ์ที่เป็นไปได้เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศโดยตั้งสมมติฐานจากแบบจำลองทางวิทยาศาสตร์ แบบจำลองเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงระดับความร้อนที่จะพบได้จากสถานการณ์จำลองการปล่อยมลพิษจากต่ำมากจนถึงสูงมาก โดยขึ้นอยู่กับปริมาณก๊าซคาร์บอนไดอ็อกไซด์และก๊าซเรือนกระจกอื่น ๆ ที่จะถูกปล่อยออกมาในระยะเวลาสิบปีข้างหน้า สถานการณ์จำลองเหล่านี้จะแตกต่างกันไปตามความเปลี่ยนแปลงด้านประชากร, การใช้ที่ดิน, นโยบายด้านการค้าและการลงทุน, โภชนาการส่วนตัว และมาตรการในปัจจุบันในการควบคุมการปล่อยมลพิษ
- ในสถานการณ์จำลองที่มีการปล่อยมลพิษในระดับ “สูงมาก” จะแสดงให้เห็นว่าโลกของเราจะยังคงเดินเข้าสู่แนวทางที่เต็มไปด้วยการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ และจะเกิดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซด์เพิ่มเป็นสามเท่าตัวภายในปี 21000 อีกทั้งอุณหภูมิโลกจะร้อนขึ้นระหว่าง 3.3 – 5.7 องศาเซลเซียสจนถึงช่วงท้ายของศตวรรษนี้
- ในสถานการณ์จำลองการปล่อยมลพิษในระดับ “สูง” และมีการควบคุมการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซด์น้อย พบว่าระดับก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซด์จะเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่าตัวภายในปี 2100 รวมถึงระดับอุณหภูมิจะสูงขึ้น 2.8 – 4.6 องศาเซลเซียสจนถึงช่วงท้ายของศตวรรษนี้
- ในสถานการณ์จำลองการปล่อยมลพิษระดับ “ปานกลาง” โดยกำหนดให้ระดับการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซด์อยู่ในระดับเดียวกับปัจจุบันไปจนกระทั่งตอนกลางของศตวรรษ จากนั้นค่อย ๆ ลดลง อย่างช้า ๆ จะพบว่าระดับอุณภูมิของโลกจะขึ้นไปอยู่ที่ 2.1 – 3.5 องศาภายในปี 2100
- ในสถานการณ์จำลองการปล่อยมลพิษระดับ “ต่ำ” โดยชาวโลกร่วมมือกันตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นไปในการลดการปล่อยคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ จะพบว่าการปล่อยคาร์บอนไดสุทธิจะไปถึงระดับที่เป็น “ศูนย์” (net-zero) ได้ภายในปี 2075 และอุณหภูมิของโลกจะขึ้นไปที่ระดับ 1.3 – 2.4 องศาเซลเซียสภายในปี 2100
- ในสถานการณ์จำลองการปล่อยมลพิษในระดับ “ต่ำมาก” การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซด์จากลดลงอย่างรวดเร็วจากปี 2020 และจะเข้าสู่ระดับการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ็อกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ (net-zero) ได้ประมาณปี 2050 โดยระดับอุณหภูมิของโลกจะขึ้นไปอยู่ที่ 1.0 – 1.8 องศาเซลเซียสในช่วงท้ายของศตวรรษนี้
B. ความท้าทายและการได้อย่างเสียอย่าง
จากสถานการณ์จำลองทั้งหมดที่จัดทำโดย IPCC จะเห็นว่าโลกของเรามีแนวโน้มที่จะมีอุณหภูมิเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 1.5 องศาเซลเซียสภายในปี 2040 และแสดงให้เห็นถึงความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นต่อธรรมชาติและมนุษย์ อย่างไรก็ตามการตั้งเป้าหมายไว้ที่ไม่เกิน 2 องศาเซลเซียสยังคงขึ้นอยู่กับระดับการปล่อยมลพิษที่จะเกิดขึ้นในอีก 10 ปีข้างหน้า และการให้ระดับอุณหภูมิเพิ่มขึ้นไม่เกิน 2 องศาเซลเซียสได้นั้นต้องเป็นการปล่อยมลพิษในระดับต่ำ ๆ เท่านั้น
ถ้าไม่มีการปรับนโยบาย เทคโนโลยี หรือพฤติกรรมมนุษย์อย่างจริงจัง โลกของเราจะเดินทางสู่การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิที่ระดับ 3 องศาหรือมากกว่านั้น และโลกที่มีระดับอุณหภูมิ 3 องศาจะแตกต่างจากโลกในปัจจุบันเป็นอย่างมาก โดยจะมีความเสี่ยงอย่างชัดเจนที่จะเกิดคลื่นความร้อน ความแห้งแล้ง พายุที่รุนแรง ฝนตกหนัก และอุทกภัย เนื่องมาจากความผันผวนสุดขั้วของระดับอุณหภูมิของอากาศ โดยจะส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อระบบนิเวศและชุมชนต่าง ๆ ทั่วโลก
การตัดสินใจว่าจะจัดการวิกฤตภูมิอากาศและวิกฤตนิเวศวิทยาอย่างไรนั้น ต้องเริ่มต้นจากการเข้าใจความท้าทายและการได้อย่างเสียอย่างตั้งแต่ระดับเบื้องต้นของแต่ละสถานการณ์ โดยการที่จะเข้าใจสิ่งเหล่านั้น เราจะมาดูเกี่ยวกับข้อตกลงปารีสที่มีเป้าหมายในการจำกัดอุณหภูมิของโลกให้อยู่ที่ 1.5 องศาเซลเซียส
การที่เราจะจำกัดอุณหภูมิโลกร้อนให้อยู่ที่ 1.5 องศาเซลเซียสนั้น จะต้องลดปริมาณการปล่อยคาร์บอนไดอ๊อกไซค์ให้เหลือเพียงครึ่งเดียวจากปริมาณปัจจุบันให้ได้ภายในปี 2030 และเพื่อจะไปถึงภาวะการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดสุทธิเป็นศูนย์ช่วงปี 2050 รวมถึงการบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอื่น ๆ ลงเป็นปริมาณมาก ๆ ด้วย เช่น ก๊าซมีเทน ก๊าซไนตรัสอ๊อกไซด์ และถ้าหากนำเรื่องสัดส่วนความรับผิดชอบมาพิจารณาร่วมด้วยแล้วนั้น ประเทศที่ร่ำรวยควรจะต้องลดการปล่อยก๊าซมลพิษมากกว่าประเทศยากจนเป็นอย่างมาก
ข้อกังวลอีกอย่างหนึ่ง คือ การลดปริมาณการใช้พลังงานลงมาก ๆ อาจทำให้มาตรฐานความเป็นอยู่ในประเทศอุตสาหกรรมร่ำรวยลดลง รวมถึงการเกิดข้อจำกัดต่อความสามารถของประเทศยากจนที่จะพัฒนาระดับคุณภาพชีวิตของตนเอง การพัฒนาคุณภาพชีวิตประชากรในประเทศยากจนนั้นในบางครั้งเกิดจากการเพิ่มปริมาณการใช้พลังงานและการลงทุนในเทคโนโลยีและบริการสาธารณะที่มีประสิทธิภาพ
มีการประเมินเมื่อไม่นานมานี้กล่าวว่ามาตรฐานการดำรงชีพที่ดีสำหรับทุกคนสามารถบรรลุได้ในขณะที่ทำการลดการใช้พลังงานไปควบคู่กัน ตราบเท่าที่การบริโภคที่เกินควรก็ลดลงอย่างมากด้วย วิธีการที่ควรจะพิจารณามีดังนี้
1. เพิ่มการผลิตพลังงานสะอาดจากเทคโนโลยีที่ใช้คาร์บอนในปริมาณต่ำ เช่น พลังงานลม พลังงานแสงอาทิตย์ พร้อมลดการลงทุนและลดการผลิตพลังงานจากฟอสซิล (น้ำมัน) ควบคู่กันไป
2. ลงทุนในเทคโนโลยีและโครงสร้างพื้นฐานที่มีประสิทธิภาพ (อาคารที่มีฉนวนกันความร้อน, ขนส่งสาธารณะ)
3. ทำให้ทุกคนเข้าถึงบริการด้านพลังงานที่มีประสิทธิภาพได้พร้อมราคาที่สมเหตุสมผล (ไม่ว่าเรื่องใดก็ตามที่เกี่ยวกับการใช้พลังงาน เช่น การทำอาหาร, การทำความร้อน, การทำความเย็น, การขนส่งและการติดต่อสื่อสาร) ในขณะเดียวกันก็ต้องทำการลดการอุปโภคและบริโภคที่มากเกินขนาดของกลุ่มคนที่มั่งคั่งร่ำรวยที่สุด
4. เปลี่ยนไปบริโภคอาหารที่ดีที่สุขภาพมากขึ้น โดยใช้วัตถุดิบที่ผลิตจากในพื้นที่ และทานผักผลไม้ตามฤดูกาล (เพื่อลดการปล่อยมลพิษจากการทำการเกษตร)
5. นำเอาคาร์บอนออกจากชั้นบรรยากาศด้วยการอนุรักษ์และฟื้นฟูระบบนิเวศ
ผลการศึกษาหนึ่งได้ชี้ว่า การที่จะบรรลุเป้าหมายของข้อตกลงปารีสได้ 50% นั้น จำนวนถ่านหินที่มีเหลืออยู่ในโลกประมาณ 90% จะต้องอยู่ใต้ดินตามธรรมชาติดังเดิม โดยไม่ให้มีการลงทุนในเชื้อเพลิงฟอสซิลและขุดขึ้นมาใช้เพิ่ม
การขาดการร่วมมือกันในระดับโลก รวมถึงการมีวิถีชีวิตที่เพิ่มการใช้คาร์บอนไดออกไซด์อย่างต่อเนื่อง ล้วนเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินการให้โลกมีอุณหภูมิสูงขึ้นไม่เกิน 1.5 องศา หากการให้คำมั่นสัญญาในปัจจุบันภายใต้ข้อตกลงปารีสในการตั้งเป้าหมายของแต่ละประเทศในการลดปัญหาโลกร้อนบรรลุผลได้ โลกเราก็ยังคงจะไม่สามารถควบคุมอุณหภูมิให้สูงขึ้นไม่เกิน 1.5 องศาได้ และอาจจะก้าวขึ้นไปถึงอุณหภูมิระดับ 3 องศา ซึ่งจะเกินเป้าหมายของข้อตกลงปารีสไปมาก และยังเกินระดับที่จะถือว่าปลอดภัยสำหรับมนุษยชาติด้วย
C. ข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับการปล่อยมลพิษเป็นลบ
สถานการณ์จำลองการปล่อยมลพิษในระดับ “ต่ำ” และ “ต่ำมาก” ขึ้นอยู่กับการพัฒนาเทคโนโลยีที่จะใช้ในการกำจัดก๊าซเรือนกระจกที่ชื่อว่าเทคโนโลยีที่ “ปล่อยมลพิษเป็นลบ” ซึ่งจะนำมาใช้ในครึ่งหลังของศตวรรษนี้
นักวิทยาศาสตร์หลายคนกังวลว่าการให้คำมั่นสัญญาในอนาคตเกี่ยวกับเทคโนโลยีที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ดังเช่นการเอาก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ออกจากชั้นบรรยากาศ จะทำให้การลงมือทำในสิ่งที่จะต้องทำเกี่ยวกับเรื่องการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศจะยิ่งช้าไปอีก ในอดีตอุตสาหกรรมที่มีอำนาจมากเคยใช้การให้คำมั่นสัญญาในเรื่องการใช้เทคโนโลยีผลิตน้ำมันและเชื้อเพลิงเพื่อที่จะได้มีความชอบธรรมในการผลิตต่อไป เทคโนโลยีเฉกเช่น “ตัวดักจับคาร์บอน” ยังไม่สามารถเกิดขึ้นในระดับที่ใช้งานได้จริงได้อย่างแพร่หลาย ดังนั้นจึงเกิดคำถามสำคัญตามมาว่าเราจะพึ่งพาเทคโนโลยีเหล่านั้นได้จริงหรือไม่
D. อะไรที่เราสามารถจะทำนายได้ว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต
แม้แต่นักวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถทำนายอนาคตได้อย่างแน่นอนได้ การใช้ชีวิตอยู่กับการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศคือการใช้ชีวิตอยู่กับความไม่แน่นอน ในหัวข้อนี้เราจะมองถึงวงจรสะท้อนกลับและจุดพลิกผันซึ่งเป็นตัวอย่างของความไม่แน่นอนของสภาพอากาศในอนาคต
ให้นึกถึงน้ำในแก้วที่ล้นออกมา โดยขึ้นอยู่กับปริมาณน้ำที่ใส่ลงไปในแก้ว การที่เราใส่น้ำเข้าไปเรื่อย ๆ ในแก้วจนถึงจุดหนึ่งที่น้ำในแก้วล้นออกมา ซึ่งหมายความว่า เมื่อน้ำในแก้วล้นออกมาแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะน้ำจะกลับเข้าไปในแก้วอีก
จุดพลิกผันของอากาศ (หรือจุดสิ้นสุดของน้ำแข็งซึ่งนำไปสู่การหยุดชะงักของสภาพภูมิอากาศ) คือจุดเปลี่ยนของช่วงเวลาที่ไม่สามารถย้อนกลับไปได้ เมื่อผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมีผลเสียหายซึ่งไม่สามารถแก้ไขได้และกระจายไปทั่วโลกเหมือนโดมิโน่ และเมื่อจุดพลิกผันนี้ได้มาถึง ก็จะเกิดเหตุการณ์ตามลำดับซึ่งนำไปสู่สภาวะการสร้างโลกที่ไม่เอื้ออำนวยต่อมนุษย์และรูปแบบวิถีชีวิตของมนุษย์และสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ
คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพทางภูมิอากาศได้นำเสนอแนวความคิดเกี่ยวกับจุดพลิกผันนี้เมื่อ 2 ทศวรรษที่แล้ว จุดพลิกผันที่เป็นไปได้คือการละลายของแผ่นน้ำแข็งในบริเวณขั้วโลกกรีนแลนด์และแอนตาร์กติกาซึ่งนำไปสู่ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีรายงานว่าแผ่นน้ำแข็งหรือธารน้ำแข็งกรีนแลนด์จะหายไปหากระดับอุณหภูมิโลกร้อนถึง 1.5 องศาเซลเซียส แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากผ่านไปแล้วหลายปี
ในเดือนกรกฎาคมปี 2021 คลื่นความร้อนทำให้เกาะกรีนแลนด์นี้กลับกลายเป็นน้ำและไหลลงมาเข้ารัฐฟลอริดาในประเทศสหรัฐอเมริกาที่ระดับน้ำสูงถึง 2 นิ้ว หรือ 5 เซนติเมตรภายในวันเดียว ทะเลน้ำแข็งจะมีการละลาย
และหดตัวอย่างรวดเร็วในมหาสมุทรอาร์กติกหากอุณหภูมิโลกแตะ 2 องศา มหาสมุทรอาร์กติกนี้มีโอกาส 10 ถึง 15 เปอร์เซ็นต์ที่จะกลายเป็นพื้นดินที่ปราศจากน้ำแข็งในหน้าร้อน
จุดพลิกผันที่เป็นไปได้อีกอย่างหนึ่งคือ การทำลายล้างและการเสื่อมโทรมของป่าฝนเป็นจำนวนมากอย่างเช่นป่าอะเมซอนซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตหลายสายพันธุ์ ประมาณการว่าจุดพลิกผันของป่าอะเมซอนนี้เกิดขึ้น 40 เปอร์เซ็นต์ซึ่งมาจากการตัดไม้ทำลายป่าถึง 20 เปอร์เซ็นต์ ตั้งแต่ปี 1970 มามีการสูญเสียมากถึง 17% แล้ว และพื้นที่เป็นวงกว้างหลาย ๆ จุดเกิดความสูญเสียมากขึ้นเนื่องมาจากการตัดไม้ทำลายป่าทุก ๆ นาที
จุดพลิกผันอย่างเช่นการละลายของแผ่นน้ำแข็ง การตัดไม้ทาลายป่า การละลายของดินเยือกแข็งและการเปลี่ยนแปลงของการไหลเวียนของกระแสน้ำในมหาสมุทรหรือจุดพลิกผันของเหตุการณ์ทั้งหมดนี้รวมกัน ก่อให้เกิดวัฏจักรซึ่งนักวิทยาศาสตร์เรียกว่า “วงจรสะท้อนกลับ” หมายถึงการเปลี่ยนแปลงของอากาศซึ่งเป็นสาเหตุของผลกระทบเหล่านี้ ซึ่งก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศที่เพิ่มขึ้นที่มากขึ้นไปอีก
ตัวอย่างของวงจรสะท้อนจากนี้พบได้ในมหาสมุทรอาร์กติก ก๊าซมีเทนซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกชนิดหนึ่งถูกกักเก็บไว้ในบริเวณชั้นดินเยือกแข็งของมหาสมุทรอาร์กติก เนื่องจากว่าโลกร้อนเป็นสาเหตุทำให้ชั้นดินเยือกแข็งนี้ละลาย ทำให้ก๊าซมีเทนที่จัดเก็บอยู่ในบริเวณนี้ออกมาสู่ชั้นบรรยากาศโลก ทำให้เกิดการเพิ่มขึ้นของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกซึ่งนำไปสู่ภาวะโลกร้อนที่สูงขึ้น และภาวะโลกร้อนที่สูงขึ้นนี้จะย้อนกลับไปทำการละลายชั้นดินเยือกแข็งในมหาสมุทรอาร์กติกต่อไป ทำให้มีก๊าซมีเทนเพิ่มมากขึ้นในชั้นบรรยากาศโลกและทำให้เกิดสภาวะโลกร้อนสูงขึ้น เกิดเป็นวงจรอันตรายที่ไม่สามารถหยุดยั้งได้
วงจรสะท้อนกลับนี้ ไม่ได้เป็นระบบแน่นอน ซึ่งหมายความว่าวงจรสะท้อนกลับนี้สามารถเกิดได้อย่างรวดเร็วและฉับพลัน และเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นในรูปแบบที่วิทยาศาสตร์ไม่สามารถทำนายได้ นั่นจึงหมายความว่าในปัจจุบันเราจึงอาจจะอยู่ในช่วงของจุดพลิกผันแล้วก็ได้ ซึ่งจะทำให้เกิดความเสี่ยงที่ส่งผลให้เกิดโลกที่ไม่สามารถอาศัยอยู่ได้ เนื่องมาจากความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขได้
ในอีก 10 ปีข้างหน้า จำเป็นอย่างยิ่งที่วิธีการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต้องได้รับการปรับปรุงแก้ไข การได้รับข้อมูลเกี่ยวกับความเสี่ยงและสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศช่วยให้เราตัดสินใจได้ดีที่สุดในภาวะปัจจุบันนี้ แม้ว่าจะยังคงเป็นไปได้ที่จะเราจะไม่สามารถทำนายถึงเหตุการณ์ในอนาคตได้อย่างถูกต้องแม่นยำ ความเข้าใจนี้สร้างความรู้สึกที่ไม่สามารถควบคุมได้ แต่คงยังมีโอกาสที่จะบรรลุความสำเร็จในการแก้ปัญหา ยังคงมีเวลาพอที่จะแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ได้ ถ้ามีการกระทำอย่างจริงจังเกิดขึ้นในขณะนี้