Changes

Line 1: Line 1: −
== <big>คำนำ</big> ==
+
== '''<big>คำนำ</big>''' ==
 
การประชุมสมัชชาโลกคือการรวมตัวกันของผู้คนในทุกประเทศทั่วโลกเพื่อถกเถียงปัญหาวิกฤตทางสภาพภูมิอากาศและวิกฤตทางนิเวศวิทยา
 
การประชุมสมัชชาโลกคือการรวมตัวกันของผู้คนในทุกประเทศทั่วโลกเพื่อถกเถียงปัญหาวิกฤตทางสภาพภูมิอากาศและวิกฤตทางนิเวศวิทยา
   −
 
+
=== '''<big>สมัชชาพลเมืองคืออะไร</big>''' ===
 
  −
'''<big>สมัชชาพลเมืองคืออะไร</big>'''
  −
 
   
สมัชชาพลเมืองคือกลุ่มคนที่มาจากวิถีชีวิตหลากหลายมารวมตัวกันเพื่อเรียนรู้บางสิ่งบางอย่าง เพื่อทำในสิ่งที่เป็นไปได้ เพื่อเสนอแนะต่อรัฐบาลและผู้นำทางความคิด และเพื่อกระตุ้นการเปลี่ยนแปลง. สมาชิกของสมัชชาพลเมืองนี้เป็นตัวแทนที่ตั้งขึ้นมาเพื่อใช้ในการตั้งคำถามต่อเมืองหรือประเทศ (ในที่นี้คือต่อโลก) โดยดูจากฐานข้อมูลประชากร เช่น เพศ อายุ รายได้ และระดับการศึกษา
 
สมัชชาพลเมืองคือกลุ่มคนที่มาจากวิถีชีวิตหลากหลายมารวมตัวกันเพื่อเรียนรู้บางสิ่งบางอย่าง เพื่อทำในสิ่งที่เป็นไปได้ เพื่อเสนอแนะต่อรัฐบาลและผู้นำทางความคิด และเพื่อกระตุ้นการเปลี่ยนแปลง. สมาชิกของสมัชชาพลเมืองนี้เป็นตัวแทนที่ตั้งขึ้นมาเพื่อใช้ในการตั้งคำถามต่อเมืองหรือประเทศ (ในที่นี้คือต่อโลก) โดยดูจากฐานข้อมูลประชากร เช่น เพศ อายุ รายได้ และระดับการศึกษา
   −
 
+
=== '''<big>สมัชชาโลกคืออะไร</big>''' ===
 
  −
'''<big>สมัชชาโลกคืออะไร</big>'''
  −
 
   
สมัชชาโลกปี 2021 ประกอบไปด้วยจำนวนสมัชชาแกนนำพลเมือง 100 ท่าน เป็นการรวมตัวของชุมชนระดับท้องถิ่นซึ่งทุกคนสามารถที่จะจัดตั้งได้ทุกพื้นที่ รวมทั้งกิจกรรมทางด้านวัฒนธรรมซึ่งผู้คนเข้าไปมีส่วนร่วมได้ ในปีนี้องค์การสหประชาชาติจะมีการจัดการประชุมผู้นำระดับโลก คือ 1. การประชุมของภาคีในหัวข้อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศหรือที่เรียกว่าการประชุม COP26 และ 2. การประชุมเรื่องความหลากหลายทางชีวภาพ หรือที่เรียกว่าการประชุม COP15 โดยในการที่จะนำไปสู่การเจรจาของการประชุมของทั้งสองนี้ สมัชชาแกนนำ (Core Assembly) ได้รวบรวมคนหนึ่งร้อยคน ซึ่งเป็นตัวแทนภาพรวมของประชากรโลก ให้เรียนรู้เกี่ยวกับวิกฤตทางสภาพภูมิอากาศและวิกฤตทางชีวภาพ เพื่อที่จะพิจารณาไตร่ตรองและแบ่งปันข้อมูลหลักที่จะนำไปแสดงต่อที่ประชุม COP26 ที่เมืองกลาสโกว์ ประเทศสก็อตแลนด์ ในเดือนพฤศจิกายนปี 2021 โดยในปีนี้สมัชชาโลกจะพิจารณาการจัดประชุมในหัวข้อที่ว่า “ทำอย่างไรมนุษยชาติจะแก้ไขปัญหาวิกฤตทางสภาพภูมิอากาศและวิกฤตทางชีวภาพอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นธรรม”
 
สมัชชาโลกปี 2021 ประกอบไปด้วยจำนวนสมัชชาแกนนำพลเมือง 100 ท่าน เป็นการรวมตัวของชุมชนระดับท้องถิ่นซึ่งทุกคนสามารถที่จะจัดตั้งได้ทุกพื้นที่ รวมทั้งกิจกรรมทางด้านวัฒนธรรมซึ่งผู้คนเข้าไปมีส่วนร่วมได้ ในปีนี้องค์การสหประชาชาติจะมีการจัดการประชุมผู้นำระดับโลก คือ 1. การประชุมของภาคีในหัวข้อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศหรือที่เรียกว่าการประชุม COP26 และ 2. การประชุมเรื่องความหลากหลายทางชีวภาพ หรือที่เรียกว่าการประชุม COP15 โดยในการที่จะนำไปสู่การเจรจาของการประชุมของทั้งสองนี้ สมัชชาแกนนำ (Core Assembly) ได้รวบรวมคนหนึ่งร้อยคน ซึ่งเป็นตัวแทนภาพรวมของประชากรโลก ให้เรียนรู้เกี่ยวกับวิกฤตทางสภาพภูมิอากาศและวิกฤตทางชีวภาพ เพื่อที่จะพิจารณาไตร่ตรองและแบ่งปันข้อมูลหลักที่จะนำไปแสดงต่อที่ประชุม COP26 ที่เมืองกลาสโกว์ ประเทศสก็อตแลนด์ ในเดือนพฤศจิกายนปี 2021 โดยในปีนี้สมัชชาโลกจะพิจารณาการจัดประชุมในหัวข้อที่ว่า “ทำอย่างไรมนุษยชาติจะแก้ไขปัญหาวิกฤตทางสภาพภูมิอากาศและวิกฤตทางชีวภาพอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นธรรม”
  −
      
<big>'''คำแนะนำเกี่ยวกับจุลสารการเรียนนี้'''</big>  
 
<big>'''คำแนะนำเกี่ยวกับจุลสารการเรียนนี้'''</big>  
Line 32: Line 24:  
รายละเอียดเพิ่มเติมของความหมายของศัพท์ที่ไฮไลท์เป็นตัวหนา สามารถเข้าไปอ่านเพิ่มเติมได้ที่บริบทในตอนท้ายของจุลสารเล่มนี้ จุลสารเล่มนี้ใช้หน่วยวัดอุณหภูมิเป็นค่าเซลเซียสหากต้องการแปลงค่าเซลเซียสเป็นฟาเรนไฮน์ให้ไปที่หัวข้ออภิธานศัพท์
 
รายละเอียดเพิ่มเติมของความหมายของศัพท์ที่ไฮไลท์เป็นตัวหนา สามารถเข้าไปอ่านเพิ่มเติมได้ที่บริบทในตอนท้ายของจุลสารเล่มนี้ จุลสารเล่มนี้ใช้หน่วยวัดอุณหภูมิเป็นค่าเซลเซียสหากต้องการแปลงค่าเซลเซียสเป็นฟาเรนไฮน์ให้ไปที่หัวข้ออภิธานศัพท์
   −
== <big>สรุปเนื้อหาในภาพรวม</big> ==
+
== <big>'''สรุปเนื้อหาในภาพรวม'''</big> ==
 
'''<big>โลกของเราจะเป็นอย่างไรในปี 2050</big>'''
 
'''<big>โลกของเราจะเป็นอย่างไรในปี 2050</big>'''
   Line 76: Line 68:  
หลายประเทศคาดหวังว่าจะเพิ่มการให้คำมั่นสัญญาทุก ๆ 5 ปีตั้งแต่ข้อตกลงปารีสเมื่อปี 2015 ก็มีบางประเทศพบความสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี แต่อย่างไรก็ดี ยังไม่มีมาตรการดำเนินการอย่างเร่งด่วนที่จะจำกัดภาวะโลกร้อนให้ถึงอุณหภูมิเป้าหมายที่ 1.5 องศาเซลเซียส จากการสำรวจของอุณหภูมิ ณ.ปัจจุบัน ภาวะโลกร้อนจะพุ่งสูงถึง 1.5 องศาเซลเซียสในปี 2040 หรือเร็วกว่านี้ และจะเพิ่มสูงขึ้นถ้าไม่มีการลงมือปฏิบัติเพิ่มเติมขณะนี้
 
หลายประเทศคาดหวังว่าจะเพิ่มการให้คำมั่นสัญญาทุก ๆ 5 ปีตั้งแต่ข้อตกลงปารีสเมื่อปี 2015 ก็มีบางประเทศพบความสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี แต่อย่างไรก็ดี ยังไม่มีมาตรการดำเนินการอย่างเร่งด่วนที่จะจำกัดภาวะโลกร้อนให้ถึงอุณหภูมิเป้าหมายที่ 1.5 องศาเซลเซียส จากการสำรวจของอุณหภูมิ ณ.ปัจจุบัน ภาวะโลกร้อนจะพุ่งสูงถึง 1.5 องศาเซลเซียสในปี 2040 หรือเร็วกว่านี้ และจะเพิ่มสูงขึ้นถ้าไม่มีการลงมือปฏิบัติเพิ่มเติมขณะนี้
   −
* เเกือบ 2  ใน 3 หรือ 60% ของประชากรใน 50 ประเทศในขณะนี้ เชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นภาวะฉุกเฉินทั่วโลก  
+
* เกือบ 2  ใน 3 หรือ 60% ของประชากรใน 50 ประเทศในขณะนี้ เชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นภาวะฉุกเฉินทั่วโลก
 
* เพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายที่จะจำกัดภาวะโลกร้อนให้อยู่ที่ 1.5 องศาเซลเซียส ในช่วงทศวรรษของปี 2020 จึงเป็นช่วงที่ต้องทำการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลก  ผู้นำระดับโลกจะมีการพบปะหารือกันในปีนี้ที่เมืองกลาสโกว์ เพื่อแก้ปัญหาวิกฤตสภาพอากาศ รวมทั้งในประเทศจีน ที่ซึ่งผู้นำทั่วโลกจะพบปะพูดคุยเพื่อแก้ปัญหาวิกฤตทางนิเวศวิทยา จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่รัฐบาลควรที่จะตระหนักถึงความสัมพันธ์ระหว่างวิกฤต 2 ด้านนี้ และพัฒนาเป้าหมายร่วมกัน รวมถึงการลงมือปฏิบัติที่เป็นไปในแนวทางเดียวกันอย่างจริงจัง
 
* เพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายที่จะจำกัดภาวะโลกร้อนให้อยู่ที่ 1.5 องศาเซลเซียส ในช่วงทศวรรษของปี 2020 จึงเป็นช่วงที่ต้องทำการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลก  ผู้นำระดับโลกจะมีการพบปะหารือกันในปีนี้ที่เมืองกลาสโกว์ เพื่อแก้ปัญหาวิกฤตสภาพอากาศ รวมทั้งในประเทศจีน ที่ซึ่งผู้นำทั่วโลกจะพบปะพูดคุยเพื่อแก้ปัญหาวิกฤตทางนิเวศวิทยา จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่รัฐบาลควรที่จะตระหนักถึงความสัมพันธ์ระหว่างวิกฤต 2 ด้านนี้ และพัฒนาเป้าหมายร่วมกัน รวมถึงการลงมือปฏิบัติที่เป็นไปในแนวทางเดียวกันอย่างจริงจัง
    
สืบเนื่องมาจากเป้าหมายในความตกลงปารีสที่ได้ตั้งไว้ การประชุม COP26 ที่เมืองกลาสโกว์ ควรจะเป็นการสร้างแผนงานอย่างละเอียดเพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายในความตกลงปารีสนี้ การพิจารณาที่สำคัญในระหว่างการประชุมที่เมืองกลาสโกว์ ได้แก่ จะตกลงกันอย่างไรเกี่ยวกับการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระยะเวลาอันใกล้ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น โดยการเปลี่ยนจากพลังงานฟอสซิล การพัฒนาคุณภาพของการใช้พลังงาน การจำกัดการตัดไม้ทำลายป่า และการหาวิธีที่จะเปลี่ยนการให้คำมั่นสัญญาที่จะทำให้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นศูนย์ไปเป็นการลงมือปฏิบัติอย่างจริงจัง
 
สืบเนื่องมาจากเป้าหมายในความตกลงปารีสที่ได้ตั้งไว้ การประชุม COP26 ที่เมืองกลาสโกว์ ควรจะเป็นการสร้างแผนงานอย่างละเอียดเพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายในความตกลงปารีสนี้ การพิจารณาที่สำคัญในระหว่างการประชุมที่เมืองกลาสโกว์ ได้แก่ จะตกลงกันอย่างไรเกี่ยวกับการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระยะเวลาอันใกล้ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น โดยการเปลี่ยนจากพลังงานฟอสซิล การพัฒนาคุณภาพของการใช้พลังงาน การจำกัดการตัดไม้ทำลายป่า และการหาวิธีที่จะเปลี่ยนการให้คำมั่นสัญญาที่จะทำให้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นศูนย์ไปเป็นการลงมือปฏิบัติอย่างจริงจัง
   −
== <big>1. วิกฤตสภาพภูมิอากาศคืออะไร</big> ==
+
== <big>'''วิกฤตสภาพภูมิอากาศคืออะไร'''</big> ==
 
''ในหัวข้อนี้เราจะจะสำรวจปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” มันคืออะไร และอะไรเป็นสาเหตุให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนี้ และทำไมถึงเป็นเรื่องด่วนที่ต้องนำมาแก้ไข''
 
''ในหัวข้อนี้เราจะจะสำรวจปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” มันคืออะไร และอะไรเป็นสาเหตุให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนี้ และทำไมถึงเป็นเรื่องด่วนที่ต้องนำมาแก้ไข''
   Line 96: Line 88:  
อุทกภัย ความแห้งแล้ง คลื่นความร้อนและพายุเฮอริเคนเกิดขึ้นก่อนการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติด้วยเช่นกัน แต่วิทยาศาสตร์ทางด้านสภาพภูมิอากาศได้บอกเราว่า การเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศทำให้เหตุการณ์สภาพอากาศเลวร้ายมากขึ้น ซึ่งทำให้ประชากร 100 ล้านคนในโลกนี้เสี่ยงต่อการสูญเสียถิ่นที่พักอาศัย ถูกฆ่า หรือ ถูกทำร้าย หรือขาดแคลนอาหาร หรือไม่มีน้ำสะอาดที่จะบริโภค
 
อุทกภัย ความแห้งแล้ง คลื่นความร้อนและพายุเฮอริเคนเกิดขึ้นก่อนการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติด้วยเช่นกัน แต่วิทยาศาสตร์ทางด้านสภาพภูมิอากาศได้บอกเราว่า การเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศทำให้เหตุการณ์สภาพอากาศเลวร้ายมากขึ้น ซึ่งทำให้ประชากร 100 ล้านคนในโลกนี้เสี่ยงต่อการสูญเสียถิ่นที่พักอาศัย ถูกฆ่า หรือ ถูกทำร้าย หรือขาดแคลนอาหาร หรือไม่มีน้ำสะอาดที่จะบริโภค
   −
== <big>2. วิกฤตทางด้านนิเวศวิทยาคืออะไร</big> ==
+
== <big>'''วิกฤตทางด้านนิเวศวิทยาคืออะไร'''</big> ==
 
''มีผลกระทบอะไรบ้างจากการกระทำของมนุษย์ต่อสิ่งมีชีวิตที่อยู่ร่วมโลกเดียวกัน ในหัวข้อนี้เราจะมุ่งศึกษาไปที่ประเด็นว่า ทำไมความหลากหลายทางชีวภาพจึงมีความสำคัญยิ่งต่อสุขภาพของมนุษย์ ความเจริญงอกงามและบทบาทของชุมชนพื้นเมืองทั่วโลก''
 
''มีผลกระทบอะไรบ้างจากการกระทำของมนุษย์ต่อสิ่งมีชีวิตที่อยู่ร่วมโลกเดียวกัน ในหัวข้อนี้เราจะมุ่งศึกษาไปที่ประเด็นว่า ทำไมความหลากหลายทางชีวภาพจึงมีความสำคัญยิ่งต่อสุขภาพของมนุษย์ ความเจริญงอกงามและบทบาทของชุมชนพื้นเมืองทั่วโลก''
   Line 113: Line 105:  
ประชากรโลกเพิ่มขึ้นทุกปีซึ่งหมายถึงถึงการเพิ่มขึ้นของคนที่ต้องพึ่งพาระบบนิเวศน์เพื่อตอบสนองความต้องการพื้นฐานของพวกเขา การสูญเสียความหลากหลายทางด้านชีวภาพจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในทศวรรษข้างหน้า ถ้าหากไม่มีการกระทำที่เร่งด่วนที่จะหยุดยั้งและแก้ไขความเสื่อมโทรมของระบบนิเวศ รวมถึงการจำกัดการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมถึงเรียกว่าวิกฤต
 
ประชากรโลกเพิ่มขึ้นทุกปีซึ่งหมายถึงถึงการเพิ่มขึ้นของคนที่ต้องพึ่งพาระบบนิเวศน์เพื่อตอบสนองความต้องการพื้นฐานของพวกเขา การสูญเสียความหลากหลายทางด้านชีวภาพจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในทศวรรษข้างหน้า ถ้าหากไม่มีการกระทำที่เร่งด่วนที่จะหยุดยั้งและแก้ไขความเสื่อมโทรมของระบบนิเวศ รวมถึงการจำกัดการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมถึงเรียกว่าวิกฤต
   −
 
+
=== <big>บทบาทของชนพื้นเมืองดั้งเดิมในการอนุรักษ์ความหลากหลายทางนิเวศวิทยา</big> ===
<big>บทบาทของชนพื้นเมืองดั้งเดิมในการอนุรักษ์ความหลากหลายทางนิเวศวิทยา</big>
  −
 
   
โดยเฉลี่ยแล้วแนวโน้มของการสูญเสียของระบบนิเวศนั้น มีความรุนแรงน้อยกว่าในพื้นที่ที่ถูกครอบครองและจัดการโดยชนพื้นเมืองและชุมชนท้องถิ่น  
 
โดยเฉลี่ยแล้วแนวโน้มของการสูญเสียของระบบนิเวศนั้น มีความรุนแรงน้อยกว่าในพื้นที่ที่ถูกครอบครองและจัดการโดยชนพื้นเมืองและชุมชนท้องถิ่น  
   Line 130: Line 120:  
จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์หลายศตวรรษอันยาวนานของการล่าอาณานิคมและการกีดกันกลุ่มคนต่าง ๆ เกือบ 3 เท่าของชนเผ่าพื้นเมืองมีแนวโน้มที่จะมีชีวิตอาศัยอยู่อย่างยากจนข้นแค้นเป็นอย่างยิ่งเมื่อเปรียบเทียบกับชนเผ่าที่ไม่ใช่ชาวพื้นเมือง  วิกฤตด้านความหลากหลายทางชีวภาพมีความผูกพันธ์กับอนาคตของวัฒนธรรมที่หลากหลายอันเป็นเอกลักษณ์  รวมไปถึงระบบองค์ความรู้ ภาษา และอัตลักษณ์
 
จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์หลายศตวรรษอันยาวนานของการล่าอาณานิคมและการกีดกันกลุ่มคนต่าง ๆ เกือบ 3 เท่าของชนเผ่าพื้นเมืองมีแนวโน้มที่จะมีชีวิตอาศัยอยู่อย่างยากจนข้นแค้นเป็นอย่างยิ่งเมื่อเปรียบเทียบกับชนเผ่าที่ไม่ใช่ชาวพื้นเมือง  วิกฤตด้านความหลากหลายทางชีวภาพมีความผูกพันธ์กับอนาคตของวัฒนธรรมที่หลากหลายอันเป็นเอกลักษณ์  รวมไปถึงระบบองค์ความรู้ ภาษา และอัตลักษณ์
   −
== <big>3. ทำไมเราถึงตกอยู่ในวิกฤติภูมิอากาศและวิกฤตทางนิเวศวิทยา</big> ==
+
== <big>'''ทำไมเราถึงตกอยู่ในวิกฤติภูมิอากาศและวิกฤตทางนิเวศวิทยา'''</big> ==
 
ในหัวข้อนี้เราจะทำการค้นหาว่า ทำไมบางโลกทัศน์ที่ครอบงำโลกตั้งแต่ศตวรรษที่ผ่านมาได้สร้างทัศนคติเกี่ยวกับธรรมชาติที่เป็นรากเหง้าไปสู่การเกิดวิกฤตทางสภาพภูมิอากาศและวิกฤตทางนิเวศวิทยา
 
ในหัวข้อนี้เราจะทำการค้นหาว่า ทำไมบางโลกทัศน์ที่ครอบงำโลกตั้งแต่ศตวรรษที่ผ่านมาได้สร้างทัศนคติเกี่ยวกับธรรมชาติที่เป็นรากเหง้าไปสู่การเกิดวิกฤตทางสภาพภูมิอากาศและวิกฤตทางนิเวศวิทยา
   Line 153: Line 143:  
สิ่งแวดล้อมที่สมบูรณ์นั้นเป็นข้อบังคับเบื้องต้นสำหรับเศรษฐกิจที่ยั่งยืน เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่าการใช้ผลผลิตทางด้านเศรษฐกิจ หรือ ผลผลิตมวลรวมในประเทศ (GDP) เป็นเครื่องวัดการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ต้องเสริมด้วย “หลักความมั่งคั่งอย่างครอบคลุม” ซึ่งหมายถึง ผลรวมของต้นทุนการผลิต ต้นทุนทางธรรมชาติและต้นทุนทางทรัพยากรมนุษย์ โดยต้องคำนึงถึงความสมบูรณ์ของสิ่งแวดล้อม แนวทางนี้จะเป็นมาตรฐานการวัดด้วยว่านโยบายเศรษฐกิจแห่งชาติมีความยั่งยืนสำหรับเยาวชนในวันนี้และในอนาคตหรือไม่
 
สิ่งแวดล้อมที่สมบูรณ์นั้นเป็นข้อบังคับเบื้องต้นสำหรับเศรษฐกิจที่ยั่งยืน เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่าการใช้ผลผลิตทางด้านเศรษฐกิจ หรือ ผลผลิตมวลรวมในประเทศ (GDP) เป็นเครื่องวัดการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ต้องเสริมด้วย “หลักความมั่งคั่งอย่างครอบคลุม” ซึ่งหมายถึง ผลรวมของต้นทุนการผลิต ต้นทุนทางธรรมชาติและต้นทุนทางทรัพยากรมนุษย์ โดยต้องคำนึงถึงความสมบูรณ์ของสิ่งแวดล้อม แนวทางนี้จะเป็นมาตรฐานการวัดด้วยว่านโยบายเศรษฐกิจแห่งชาติมีความยั่งยืนสำหรับเยาวชนในวันนี้และในอนาคตหรือไม่
   −
== <big>4. การเจรจาระหว่างประเทศ</big> ==
+
== <big>'''การเจรจาระหว่างประเทศ'''</big> ==
 
ผู้นำของโลกจะพบปะกันที่เมืองกลาสโกว์ในปีนี้เพื่อที่จะหารือเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และในประเทศจีนที่ซึ่งจะมีการพูดคุยเกี่ยวกับวิกฤตทางระบบนิเวศวิทยา ในหัวข้อนี้เราจะเรียนรู้ว่าอะไรคือจุดมุ่งหมายของการเจรจาเหล่านี้และจนถึงตอนนี้จุดมุ่งหมายได้บรรลุผลถึงขั้นใดแล้ว
 
ผู้นำของโลกจะพบปะกันที่เมืองกลาสโกว์ในปีนี้เพื่อที่จะหารือเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และในประเทศจีนที่ซึ่งจะมีการพูดคุยเกี่ยวกับวิกฤตทางระบบนิเวศวิทยา ในหัวข้อนี้เราจะเรียนรู้ว่าอะไรคือจุดมุ่งหมายของการเจรจาเหล่านี้และจนถึงตอนนี้จุดมุ่งหมายได้บรรลุผลถึงขั้นใดแล้ว
   −
 
+
=== A) การเจรจาเรื่องสภาพภูมิอากาศบรรลุผลถึงขั้นใดแล้ว ===
A) การเจรจาเรื่องสภาพภูมิอากาศบรรลุผลถึงขั้นใดแล้ว?
  −
 
   
นักวิทยาศาสตร์ได้คาดการณ์ความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่ถูกกระทำโดยมนุษย์มาหลายทศวรรษแล้ว อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC) ได้ถูกลงนามที่เมืองริโอเดอจาเนโร ในปี 1992 และการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (COP) ได้ถูกจัดขึ้นทุก ๆ ปี มาตั้งแต่ปี 1995 จุดประสงค์ของการประชุมนี้ก็เพื่อที่จะเจรจาหาข้อตกลงว่า ควรที่จะทำอะไรเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศและเพื่อที่จะนำเสนอมาตรการที่แต่ละประเทศควรจะนำไปแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ  
 
นักวิทยาศาสตร์ได้คาดการณ์ความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่ถูกกระทำโดยมนุษย์มาหลายทศวรรษแล้ว อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC) ได้ถูกลงนามที่เมืองริโอเดอจาเนโร ในปี 1992 และการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (COP) ได้ถูกจัดขึ้นทุก ๆ ปี มาตั้งแต่ปี 1995 จุดประสงค์ของการประชุมนี้ก็เพื่อที่จะเจรจาหาข้อตกลงว่า ควรที่จะทำอะไรเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศและเพื่อที่จะนำเสนอมาตรการที่แต่ละประเทศควรจะนำไปแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ  
   Line 198: Line 186:  
การขาดการกระทำที่ชัดเจนและรวดเร็วในเรื่องของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จะส่งผลให้รัฐบาลทั่วโลกเกิดค่าใช้จ่ายอย่างมหาศาล มีการประเมินว่าผลกระทบจากการกระทำของมนุษย์ที่ทำให้เกิดสภาพอากาศแปรปรวนสุดขั้วจะก่อให้เกิดค่าใช้จ่าย 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อวัน ในปี 2030 นอกเหนือไปจากค่าใช้จ่ายนี้แล้ว เหตุการณ์และรูปแบบของสภาพภูมิอากาศจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องต่อไป และจะมีผลกระทบในทางลบต่อสุขภาพของมนุษย์ การทำมาหากิน อาหาร น้ำ ความหลากหลายทางด้านชีวภาพและการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ  
 
การขาดการกระทำที่ชัดเจนและรวดเร็วในเรื่องของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จะส่งผลให้รัฐบาลทั่วโลกเกิดค่าใช้จ่ายอย่างมหาศาล มีการประเมินว่าผลกระทบจากการกระทำของมนุษย์ที่ทำให้เกิดสภาพอากาศแปรปรวนสุดขั้วจะก่อให้เกิดค่าใช้จ่าย 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อวัน ในปี 2030 นอกเหนือไปจากค่าใช้จ่ายนี้แล้ว เหตุการณ์และรูปแบบของสภาพภูมิอากาศจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องต่อไป และจะมีผลกระทบในทางลบต่อสุขภาพของมนุษย์ การทำมาหากิน อาหาร น้ำ ความหลากหลายทางด้านชีวภาพและการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ  
   −
 
+
=== <big>B) การเจรจาเกี่ยวกับความหลากหลายทางชีวภาพสำเร็จถึงขั้นใดแล้ว</big> ===
<big>B) การเจรจาเกี่ยวกับความหลากหลายทางชีวภาพสำเร็จถึงขั้นไหนแล้ว</big>
  −
 
   
ความหลากหลายทางชีวภาพมีคุณค่าทางด้านสังคม ด้านเศรษฐกิจและด้านชีววิทยาเป็นอย่างมาก แต่เท่าที่ผ่านมาเราได้ให้ความสำคัญกับคุณค่าทางด้านเศรษฐกิจเท่านั้น
 
ความหลากหลายทางชีวภาพมีคุณค่าทางด้านสังคม ด้านเศรษฐกิจและด้านชีววิทยาเป็นอย่างมาก แต่เท่าที่ผ่านมาเราได้ให้ความสำคัญกับคุณค่าทางด้านเศรษฐกิจเท่านั้น
   Line 207: Line 193:  
นอกเหนือไปจากความหลากหลายทางชีวภาพแล้ว ยังมีอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพอื่น ๆ อีก 5 ฉบับ คือ อนุสัญญาแรมซาร์, อนุสัญญาว่าด้วยชนิดพันธุ์ที่มีการเคลื่อนย้ายถิ่น, อนุสัญญาไซเตส, สนธิสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยทรัพยากรพันธุกรรมพืชเพื่ออาหารและการเกษตร และอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลก อย่างไรก็ดียังไม่มีเป้าหมายใดในเรื่องการตกลงระหว่างประเทศที่สำเร็จอย่างเต็มที่  ถึงแม้ว่าจะมีการประชุมระหว่างประเทศอย่างมากมายในเรื่องของความสูญเสียทางด้านความหลากหลายทางชีวภาพ ดังนั้นจึงสำคัญยิ่งสำหรับรัฐบาลที่ควรจะเริ่มตระหนักถึงความสัมพันธ์ระหว่างความเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศและความสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ โดยเริ่มพัฒนาเป้าหมายและการกระทำร่วมกันเพื่อที่จะแก้ไขปัญหาใน 2 ประเด็นนี้
 
นอกเหนือไปจากความหลากหลายทางชีวภาพแล้ว ยังมีอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพอื่น ๆ อีก 5 ฉบับ คือ อนุสัญญาแรมซาร์, อนุสัญญาว่าด้วยชนิดพันธุ์ที่มีการเคลื่อนย้ายถิ่น, อนุสัญญาไซเตส, สนธิสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยทรัพยากรพันธุกรรมพืชเพื่ออาหารและการเกษตร และอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลก อย่างไรก็ดียังไม่มีเป้าหมายใดในเรื่องการตกลงระหว่างประเทศที่สำเร็จอย่างเต็มที่  ถึงแม้ว่าจะมีการประชุมระหว่างประเทศอย่างมากมายในเรื่องของความสูญเสียทางด้านความหลากหลายทางชีวภาพ ดังนั้นจึงสำคัญยิ่งสำหรับรัฐบาลที่ควรจะเริ่มตระหนักถึงความสัมพันธ์ระหว่างความเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศและความสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ โดยเริ่มพัฒนาเป้าหมายและการกระทำร่วมกันเพื่อที่จะแก้ไขปัญหาใน 2 ประเด็นนี้
   −
== 5. ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและวิกฤตทางนิเวศวิทยาในด้าน… ==
+
== '''<big>ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและวิกฤตทางนิเวศวิทยาในด้าน…</big>''' ==
 
ในหัวข้อนี้เราจะศึกษาระดับของผลกระทบที่เกิดความเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศและวิกฤตทางชีววิทยาที่มีต่อสุขภาพและความเป็นอยู่ของมนุษย์ รวมถึงระบบนิเวศวิทยาและความหลากหลายทางชีวภาพทั่วทุกมุมโลก ผลกระทบเหล่านี้จะรุนแรงมากน้อยเพียงใดนั้นขึ้นอยู่กับการลงมือแก้ปัญหาในปัจจุบัน
 
ในหัวข้อนี้เราจะศึกษาระดับของผลกระทบที่เกิดความเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศและวิกฤตทางชีววิทยาที่มีต่อสุขภาพและความเป็นอยู่ของมนุษย์ รวมถึงระบบนิเวศวิทยาและความหลากหลายทางชีวภาพทั่วทุกมุมโลก ผลกระทบเหล่านี้จะรุนแรงมากน้อยเพียงใดนั้นขึ้นอยู่กับการลงมือแก้ปัญหาในปัจจุบัน
   −
 
+
=== ''<big>…สุขภาพและการดำรงชีวิตของมนุษย์</big>'' ===
<big>…สุขภาพและการดำรงชีวิตของมนุษย์</big>
  −
 
   
การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศได้ทำลายสุขภาพของมนุษย์ มนุษย์เกิดความเครียดที่เป็นผลมาจากสภาพภูมิอากาศ  ซึ่งนำไปสู่ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของโรคภัยไข้เจ็บและและภาวะทุพโภชนาการอันเนื่องมาจากสภาพภูมิอากาศที่แปรปรวนอย่างรุนแรง เช่น ความแห้งแล้ง พายุเฮอริเคนและอุทกภัย  ความเสี่ยงนี้เพิ่มขึ้นพร้อมกับภาวะโลกที่ร้อนขึ้น  
 
การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศได้ทำลายสุขภาพของมนุษย์ มนุษย์เกิดความเครียดที่เป็นผลมาจากสภาพภูมิอากาศ  ซึ่งนำไปสู่ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของโรคภัยไข้เจ็บและและภาวะทุพโภชนาการอันเนื่องมาจากสภาพภูมิอากาศที่แปรปรวนอย่างรุนแรง เช่น ความแห้งแล้ง พายุเฮอริเคนและอุทกภัย  ความเสี่ยงนี้เพิ่มขึ้นพร้อมกับภาวะโลกที่ร้อนขึ้น  
   Line 225: Line 209:  
เรากำลังจะได้เห็นหลักฐานที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับการอพยพของผู้คนจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ  ข้อมูลที่ได้จากหน่วยงานผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติเผยว่า คนไร้สัญชาติและคนพลัดถิ่นคือด่านหน้าที่จะเผชิญกับปัญหาวิกฤตสภาพภูมิอากาศ  ประชากรส่วนมากอาศัยอยู่ใน “จุดความร้อน” (climate hotspot) ซึ่งเป็นจุดที่ดาวเทียมตรวจพบค่าความร้อนสูงผิดปกติ ที่ซึ่งประชากรเหล่านี้ขาดแหล่งทรัพยากรที่จะนำมาใช้ในการปรับตัวต่อสภาพแวดล้อมที่อันตรายเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งความอันตรายเหล่านี้มีผลมาจากความรุนแรงและความถี่ของเหตุการณ์ทางสภาพภูมิอากาศ ได้แก่ ภาวะฝนตกอย่างหนักอย่างผิดปกติ สภาพความแห้งแล้งที่ยืดเยื้อ การที่ผืนดินกลายเป็นทะเลทราย ความเสื่อมโทรมของสภาพแวดล้อม หรือการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลและพายุไซโคลน ซึ่งเป็นสาเหตุให้ประชากรโดยเฉลี่ยมากกว่า 20 ล้านคน ต้องย้ายไปอาศัยอยู่ในบริเวณอื่นในประเทศของตนเองหรืออพยพออกจากประเทศของตนเอง   
 
เรากำลังจะได้เห็นหลักฐานที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับการอพยพของผู้คนจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ  ข้อมูลที่ได้จากหน่วยงานผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติเผยว่า คนไร้สัญชาติและคนพลัดถิ่นคือด่านหน้าที่จะเผชิญกับปัญหาวิกฤตสภาพภูมิอากาศ  ประชากรส่วนมากอาศัยอยู่ใน “จุดความร้อน” (climate hotspot) ซึ่งเป็นจุดที่ดาวเทียมตรวจพบค่าความร้อนสูงผิดปกติ ที่ซึ่งประชากรเหล่านี้ขาดแหล่งทรัพยากรที่จะนำมาใช้ในการปรับตัวต่อสภาพแวดล้อมที่อันตรายเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งความอันตรายเหล่านี้มีผลมาจากความรุนแรงและความถี่ของเหตุการณ์ทางสภาพภูมิอากาศ ได้แก่ ภาวะฝนตกอย่างหนักอย่างผิดปกติ สภาพความแห้งแล้งที่ยืดเยื้อ การที่ผืนดินกลายเป็นทะเลทราย ความเสื่อมโทรมของสภาพแวดล้อม หรือการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลและพายุไซโคลน ซึ่งเป็นสาเหตุให้ประชากรโดยเฉลี่ยมากกว่า 20 ล้านคน ต้องย้ายไปอาศัยอยู่ในบริเวณอื่นในประเทศของตนเองหรืออพยพออกจากประเทศของตนเอง   
   −
ในปลายปี 2020 นี้ ประมาณ 7 ล้านคนใน 104 ประเทศและอาณาเขต (ดินแดนเขตการปกครองที่ยังไม่ได้รับเอกราชของประเทศใดประเทศหนึ่ง) จะต้องอาศัยอยู่กันอย่างกระจัดกระจายซึ่งเป็นผลมาจากภัยพิบัติที่เกิดขึ้นในปี 2019 และในปีก่อนหน้านี้   5 ประเทศหลัก ๆ ซึ่งมีจำนวนของผู้ลี้ภัยอันเนื่องมาจากภัยพิบัติภายในประเทศที่มากที่สุด ได้แก่ ประเทศอัฟกานิสถาน (1.1 ล้านคน) อินเดีย (929,000 คน), ปากีสถาน (806,000 คน), เอธิโอเปีย (633,000 คน) และประเทศซูดาน (454,000 คน)  ในปี 2017 ชาวอเมริกัน 1.5 ล้านคนต้องทำการอพยพอย่างถาวรและชั่วคราวไปยังเมืองอื่น ๆ ในประเทศของตนเนื่องมาจากภัยพิบัตินี้  
+
ในปลายปี 2020 นี้ ประมาณ 7 ล้านคนใน 104 ประเทศและอาณาเขต (ดินแดนเขตการปกครองที่ยังไม่ได้รับเอกราชของประเทศใดประเทศหนึ่ง) จะต้องอาศัยอยู่กันอย่างกระจัดกระจายซึ่งเป็นผลมาจากภัยพิบัติที่เกิดขึ้นในปี 2019 และในปีก่อนหน้านี้   5 ประเทศหลัก ๆ ซึ่งมีจำนวนของผู้ลี้ภัยอันเนื่องมาจากภัยพิบัติภายในประเทศที่มากที่สุด ได้แก่ ประเทศอัฟกานิสถาน (1.1 ล้านคน) อินเดีย (929,000 คน), ปากีสถาน (806,000 คน), เอธิโอเปีย (633,000 คน) และประเทศซูดาน (454,000 คน)  ในปี 2017 ชาวอเมริกัน 1.5 ล้านคนต้องทำการอพยพอย่างถาวรและชั่วคราวไปยังเมืองอื่น ๆ ในประเทศของตนเนื่องมาจากภัยพิบัตินี้
 
  −
 
  −
<big>…ความมั่นคงทางอาหาร</big>
      +
=== ''<big>…ความมั่นคงทางอาหาร</big>'' ===
 
ความมั่นคงทางอาหาร หมายถึง การที่ประชากรทั้งหมดสามารถเข้าถึงการบริโภคอาหารได้อย่างปลอดภัยและถูกต้องตามหลักโภชนาการ พร้อมทั้งตอบสนองต่อความชอบและความต้องการอาหาร เพื่อชีวิตที่มีชีวิตชีวาและมีสุขภาพดี  ความมั่นคงทางอาหารถูกคุกคามจากการสูญเสียแมลงผสมเกสรและการสูญเสียผืนดินที่อุดมสมบูรณ์ซึ่งเป็นผลที่มาจากวิกฤตทางนิเวศวิทยา และความสามารถของโลกในการสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นด้านอาหารที่ถูกโภชนาการนั้นจะลดลง เนื่องมาจากความเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง  
 
ความมั่นคงทางอาหาร หมายถึง การที่ประชากรทั้งหมดสามารถเข้าถึงการบริโภคอาหารได้อย่างปลอดภัยและถูกต้องตามหลักโภชนาการ พร้อมทั้งตอบสนองต่อความชอบและความต้องการอาหาร เพื่อชีวิตที่มีชีวิตชีวาและมีสุขภาพดี  ความมั่นคงทางอาหารถูกคุกคามจากการสูญเสียแมลงผสมเกสรและการสูญเสียผืนดินที่อุดมสมบูรณ์ซึ่งเป็นผลที่มาจากวิกฤตทางนิเวศวิทยา และความสามารถของโลกในการสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นด้านอาหารที่ถูกโภชนาการนั้นจะลดลง เนื่องมาจากความเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง  
   Line 244: Line 226:  
ความเสี่ยงของการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศที่มีต่อความมั่นคงทางอาหารและการเข้าถึงแหล่งอาหารจะสูงขึ้นที่อุณหภูมิ 1.2 ถึง 2.5 องศาเซลเซียส และสูงขึ้นมากเมื่ออุณหภูมิขึ้นไปถึง 3-4 องศา โดยในระดับอุณหภูมิ 4 องศาจะเข้าสู่ภาวะหายนะ การเพิ่มขึ้นของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เข้มข้นคาดว่าจะนำไปสู่การลดลงของปริมาณโปรตีนและปริมาณสารอาหารที่มีอยู่ในธัญพืชหลัก ๆ ที่สำคัญซึ่งจะนำไปสู่การลดลงของปริมาณอาหารและความมั่นคงด้านทางอาหาร  
 
ความเสี่ยงของการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศที่มีต่อความมั่นคงทางอาหารและการเข้าถึงแหล่งอาหารจะสูงขึ้นที่อุณหภูมิ 1.2 ถึง 2.5 องศาเซลเซียส และสูงขึ้นมากเมื่ออุณหภูมิขึ้นไปถึง 3-4 องศา โดยในระดับอุณหภูมิ 4 องศาจะเข้าสู่ภาวะหายนะ การเพิ่มขึ้นของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เข้มข้นคาดว่าจะนำไปสู่การลดลงของปริมาณโปรตีนและปริมาณสารอาหารที่มีอยู่ในธัญพืชหลัก ๆ ที่สำคัญซึ่งจะนำไปสู่การลดลงของปริมาณอาหารและความมั่นคงด้านทางอาหาร  
   −
 
+
=== ''<big>…ความมั่นคงด้านทรัพยากรน้ำ</big>'' ===
<big>…ความมั่นคงด้านทรัพยากรน้ำ</big>
  −
 
   
ความมั่นคงด้านทรัพยากรน้ำวัดจากปริมาณน้ำที่มี ความต้องการในการใช้น้ำและคุณภาพของแหล่งน้ำ
 
ความมั่นคงด้านทรัพยากรน้ำวัดจากปริมาณน้ำที่มี ความต้องการในการใช้น้ำและคุณภาพของแหล่งน้ำ
   Line 259: Line 239:  
พื้นที่ชุ่มน้ำได้สูญหายไปทั่วโลกซึ่งเป็นการคุกคามคุณภาพของน้ำในทุกภูมิภาคทั่วโลก
 
พื้นที่ชุ่มน้ำได้สูญหายไปทั่วโลกซึ่งเป็นการคุกคามคุณภาพของน้ำในทุกภูมิภาคทั่วโลก
   −
 
+
=== <big>''…ความหลากหลายทางชีวภาพบนพื้นดินและระบบนิเวศ''</big> ===
<big>…ความหลากหลายทางชีวภาพบนพื้นดินและระบบนิเวศ</big>
  −
 
   
ระบบนิเวศคือระบบที่ค้ำจุนชีวิตของคนในโลกสำหรับเผ่าพันธุ์มนุษย์และชีวิตอื่น ๆ ทั้งหมด หลายทศวรรษที่ผ่านมามนุษย์ได้ทำการเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศวิทยาตามธรรมชาติอย่างรวดเร็ว การเปลี่ยนแปลงนี้ก่อให้เกิดประโยชน์กับมนุษย์ในด้านชีวิตความเป็นอยู่ เช่น การมีอายุขัยที่เพิ่มขึ้นและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ แต่อย่างไรก็ดีไม่ใช่คนทุกกลุ่มในโลกได้รับประโยชน์จากกระบวนการนี้และมีประชากรมากมายได้รับอันตราย สิ่งที่โลกต้องจ่ายสำหรับการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เริ่มจะเห็นได้ชัดขึ้นเรื่อย ๆ   เศรษฐกิจความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและความเจริญก้าวหน้าของสังคมกลายเป็นภาระที่โลกต้องจ่ายเพื่อจะรักษาความเป็นอยู่ที่ดีของมนุษย์   
 
ระบบนิเวศคือระบบที่ค้ำจุนชีวิตของคนในโลกสำหรับเผ่าพันธุ์มนุษย์และชีวิตอื่น ๆ ทั้งหมด หลายทศวรรษที่ผ่านมามนุษย์ได้ทำการเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศวิทยาตามธรรมชาติอย่างรวดเร็ว การเปลี่ยนแปลงนี้ก่อให้เกิดประโยชน์กับมนุษย์ในด้านชีวิตความเป็นอยู่ เช่น การมีอายุขัยที่เพิ่มขึ้นและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ แต่อย่างไรก็ดีไม่ใช่คนทุกกลุ่มในโลกได้รับประโยชน์จากกระบวนการนี้และมีประชากรมากมายได้รับอันตราย สิ่งที่โลกต้องจ่ายสำหรับการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เริ่มจะเห็นได้ชัดขึ้นเรื่อย ๆ   เศรษฐกิจความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและความเจริญก้าวหน้าของสังคมกลายเป็นภาระที่โลกต้องจ่ายเพื่อจะรักษาความเป็นอยู่ที่ดีของมนุษย์   
   Line 270: Line 248:  
ในปี 2020 มีหน้าดินน้อยกว่า 1 ส่วน 4 ของโลกที่ยังคงใช้ประโยชน์ตามธรรมชาติได้โดยที่ระบบความหลากหลายทางชีวภาพไม่ถูกทำลาย โดย 1 ส่วน 4 ของหน้าดินนี้ตั้งอยู่ในบริเวณที่เป็นภูเขา บริเวณแห้งแล้งและบริเวณที่หนาวเย็น ดังนั้นจึงมีปริมาณประชากรอาศัยอยู่น้อย ทำให้การเปลี่ยนแปลงหน้าดินเกิดขึ้นไม่มาก  
 
ในปี 2020 มีหน้าดินน้อยกว่า 1 ส่วน 4 ของโลกที่ยังคงใช้ประโยชน์ตามธรรมชาติได้โดยที่ระบบความหลากหลายทางชีวภาพไม่ถูกทำลาย โดย 1 ส่วน 4 ของหน้าดินนี้ตั้งอยู่ในบริเวณที่เป็นภูเขา บริเวณแห้งแล้งและบริเวณที่หนาวเย็น ดังนั้นจึงมีปริมาณประชากรอาศัยอยู่น้อย ทำให้การเปลี่ยนแปลงหน้าดินเกิดขึ้นไม่มาก  
   −
 
+
=== <big>''…มหาสมุทรและสิ่งมีชีวิตทางทะเล''</big> ===
<big>…มหาสมุทรและสิ่งมีชีวิตทางทะเล</big>
  −
 
   
มหาสมุทรเป็นที่อยู่อาศัยของความหลากหลายทางชีวภาพเริ่มจากจุลินทรีย์ไปถึงสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในทะเลและระบบนิเวศวิทยาที่หลากหลาย โดย 2 ใน 3 ของมหาสมุทรทั่วโลกกำลังได้รับผลกระทบจากการกระทำของมนุษย์ที่ร้ายแรง คือ การจับปลามากเกินไปหรือการประมงเกินขนาด การติดตั้งระบบสาธารณูปโภคและการขนส่งแถบชายฝั่งและนอกชายฝั่ง ภาวะความเป็นกรดในมหาสมุทรขยะและการไหลบ่าของแร่ธาตุลงสู่มหาสมุทร โดย 1 ใน 3 ของปลาทะเลในโลกถูกล่ามากเกินไปในปี 2015 ทำให้เกิดการขาดแคลนปริมาณปลาทะเลที่กักเก็บไว้สำหรับบริโภค ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงทางอาหาร แร่ธาตุจากปุ๋ยที่ไหลลงไปสู่ระบบนิเวศวิทยาชายฝั่งทำให้เกิด “พื้นที่มรณะ” (dead zone) มากกว่า 400 แห่ง รวมแล้วมากกว่า 245,000 กิโลเมตร ซึ่งใหญ่กว่าขนาดของประเทศเอกวาดอร์หรือประเทศอังกฤษ  โดยในปี 2021 เกิดการรั่วไหลของปุ๋ยจากโรงงานปุ๋ยที่ถูกทิ้งร้างในรัฐฟลอริดา ซึ่งทำให้เกิดดอกสาหร่ายที่เป็นปรากฏการณ์น้ำสีเขียวที่เป็นอันตรายต่อมหาสมุทรทำให้สัตว์น้ำตายไปหลายตัน  
 
มหาสมุทรเป็นที่อยู่อาศัยของความหลากหลายทางชีวภาพเริ่มจากจุลินทรีย์ไปถึงสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในทะเลและระบบนิเวศวิทยาที่หลากหลาย โดย 2 ใน 3 ของมหาสมุทรทั่วโลกกำลังได้รับผลกระทบจากการกระทำของมนุษย์ที่ร้ายแรง คือ การจับปลามากเกินไปหรือการประมงเกินขนาด การติดตั้งระบบสาธารณูปโภคและการขนส่งแถบชายฝั่งและนอกชายฝั่ง ภาวะความเป็นกรดในมหาสมุทรขยะและการไหลบ่าของแร่ธาตุลงสู่มหาสมุทร โดย 1 ใน 3 ของปลาทะเลในโลกถูกล่ามากเกินไปในปี 2015 ทำให้เกิดการขาดแคลนปริมาณปลาทะเลที่กักเก็บไว้สำหรับบริโภค ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงทางอาหาร แร่ธาตุจากปุ๋ยที่ไหลลงไปสู่ระบบนิเวศวิทยาชายฝั่งทำให้เกิด “พื้นที่มรณะ” (dead zone) มากกว่า 400 แห่ง รวมแล้วมากกว่า 245,000 กิโลเมตร ซึ่งใหญ่กว่าขนาดของประเทศเอกวาดอร์หรือประเทศอังกฤษ  โดยในปี 2021 เกิดการรั่วไหลของปุ๋ยจากโรงงานปุ๋ยที่ถูกทิ้งร้างในรัฐฟลอริดา ซึ่งทำให้เกิดดอกสาหร่ายที่เป็นปรากฏการณ์น้ำสีเขียวที่เป็นอันตรายต่อมหาสมุทรทำให้สัตว์น้ำตายไปหลายตัน  
   Line 285: Line 261:  
การเปลี่ยนแปลงหลายอย่างที่เกิดจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในอดีตและในอนาคตจะเป็นความเสียหายที่ไม่สามารถย้อนกลับมาได้ในอีกหลายพันปีข้างหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปลี่ยนแปลงของการไหลเวียนของมหาสมุทร ธารน้ำแข็ง และระดับน้ำทะเลของโลก
 
การเปลี่ยนแปลงหลายอย่างที่เกิดจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในอดีตและในอนาคตจะเป็นความเสียหายที่ไม่สามารถย้อนกลับมาได้ในอีกหลายพันปีข้างหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปลี่ยนแปลงของการไหลเวียนของมหาสมุทร ธารน้ำแข็ง และระดับน้ำทะเลของโลก
   −
== <big>6. สถานการณ์และแนวทางต่าง ๆ</big> ==
+
== <big>'''สถานการณ์และแนวทางต่าง ๆ'''</big> ==
 
สถานการณ์จำลองเกี่ยวกับการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิและแนวทางการบรรเทาปัญหาสภาพภูมิอากาศสำหรับอนาคตมีอะไรบ้าง รวมถึงมีความท้าทายและความไม่แน่นอนอย่างไร
 
สถานการณ์จำลองเกี่ยวกับการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิและแนวทางการบรรเทาปัญหาสภาพภูมิอากาศสำหรับอนาคตมีอะไรบ้าง รวมถึงมีความท้าทายและความไม่แน่นอนอย่างไร
   −
 
+
=== <big>A. แบบจำลองภูมิอากาศและการเปลี่ยนแปลงที่คาดการณ์ด้านการปล่อยก๊าซมลพิษและอุณหภูมิชั้นบรรยากาศ</big> ===
<big>A. แบบจำลองภูมิอากาศและการเปลี่ยนแปลงที่คาดการณ์ด้านการปล่อยก๊าซมลพิษและอุณหภูมิชั้นบรรยากาศ</big>
  −
 
   
แบบจำลองภูมิอากาศ เป็นการสร้างแบบจำลองที่ซับซ้อนจากคอมพิวเตอร์เพื่อนำมาใช้วิเคราะห์ผลกระทบในอนาคตของการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากการปล่อยก๊าซพิษเข้าสู่ภูมิอากาศของโลก แบบจำลองเหล่านั้นยังสามารถนำมาใช้กับการค้นหาว่านโยบายและเทคโนโลยีต่าง ๆ สามารถนำมาใช้เพื่อบรรเทาปัญหาด้านภูมิอากาศได้อย่างไร  
 
แบบจำลองภูมิอากาศ เป็นการสร้างแบบจำลองที่ซับซ้อนจากคอมพิวเตอร์เพื่อนำมาใช้วิเคราะห์ผลกระทบในอนาคตของการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากการปล่อยก๊าซพิษเข้าสู่ภูมิอากาศของโลก แบบจำลองเหล่านั้นยังสามารถนำมาใช้กับการค้นหาว่านโยบายและเทคโนโลยีต่าง ๆ สามารถนำมาใช้เพื่อบรรเทาปัญหาด้านภูมิอากาศได้อย่างไร  
   Line 303: Line 277:  
* ในสถานการณ์จำลองการปล่อยมลพิษในระดับ “ต่ำมาก” การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซด์จากลดลงอย่างรวดเร็วจากปี 2020 และจะเข้าสู่ระดับการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ็อกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ (net-zero) ได้ประมาณปี 2050 โดยระดับอุณหภูมิของโลกจะขึ้นไปอยู่ที่ 1.0 – 1.8 องศาเซลเซียสในช่วงท้ายของศตวรรษนี้
 
* ในสถานการณ์จำลองการปล่อยมลพิษในระดับ “ต่ำมาก” การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซด์จากลดลงอย่างรวดเร็วจากปี 2020 และจะเข้าสู่ระดับการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ็อกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ (net-zero) ได้ประมาณปี 2050 โดยระดับอุณหภูมิของโลกจะขึ้นไปอยู่ที่ 1.0 – 1.8 องศาเซลเซียสในช่วงท้ายของศตวรรษนี้
   −
 
+
=== <big>B. ความท้าทายและการได้อย่างเสียอย่าง</big> ===
<big>B. ความท้าทายและการได้อย่างเสียอย่าง</big>
  −
 
   
จากสถานการณ์จำลองทั้งหมดที่จัดทำโดย IPCC จะเห็นว่าโลกของเรามีแนวโน้มที่จะมีอุณหภูมิเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 1.5 องศาเซลเซียสภายในปี 2040 และแสดงให้เห็นถึงความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นต่อธรรมชาติและมนุษย์ อย่างไรก็ตามการตั้งเป้าหมายไว้ที่ไม่เกิน 2 องศาเซลเซียสยังคงขึ้นอยู่กับระดับการปล่อยมลพิษที่จะเกิดขึ้นในอีก 10 ปีข้างหน้า และการให้ระดับอุณหภูมิเพิ่มขึ้นไม่เกิน 2 องศาเซลเซียสได้นั้นต้องเป็นการปล่อยมลพิษในระดับต่ำ ๆ เท่านั้น
 
จากสถานการณ์จำลองทั้งหมดที่จัดทำโดย IPCC จะเห็นว่าโลกของเรามีแนวโน้มที่จะมีอุณหภูมิเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 1.5 องศาเซลเซียสภายในปี 2040 และแสดงให้เห็นถึงความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นต่อธรรมชาติและมนุษย์ อย่างไรก็ตามการตั้งเป้าหมายไว้ที่ไม่เกิน 2 องศาเซลเซียสยังคงขึ้นอยู่กับระดับการปล่อยมลพิษที่จะเกิดขึ้นในอีก 10 ปีข้างหน้า และการให้ระดับอุณหภูมิเพิ่มขึ้นไม่เกิน 2 องศาเซลเซียสได้นั้นต้องเป็นการปล่อยมลพิษในระดับต่ำ ๆ เท่านั้น
   Line 332: Line 304:  
การขาดการร่วมมือกันในระดับโลก รวมถึงการมีวิถีชีวิตที่เพิ่มการใช้คาร์บอนไดออกไซด์อย่างต่อเนื่อง ล้วนเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินการให้โลกมีอุณหภูมิสูงขึ้นไม่เกิน 1.5 องศา หากการให้คำมั่นสัญญาในปัจจุบันภายใต้ข้อตกลงปารีสในการตั้งเป้าหมายของแต่ละประเทศในการลดปัญหาโลกร้อนบรรลุผลได้ โลกเราก็ยังคงจะไม่สามารถควบคุมอุณหภูมิให้สูงขึ้นไม่เกิน 1.5 องศาได้ และอาจจะก้าวขึ้นไปถึงอุณหภูมิระดับ 3 องศา ซึ่งจะเกินเป้าหมายของข้อตกลงปารีสไปมาก และยังเกินระดับที่จะถือว่าปลอดภัยสำหรับมนุษยชาติด้วย
 
การขาดการร่วมมือกันในระดับโลก รวมถึงการมีวิถีชีวิตที่เพิ่มการใช้คาร์บอนไดออกไซด์อย่างต่อเนื่อง ล้วนเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินการให้โลกมีอุณหภูมิสูงขึ้นไม่เกิน 1.5 องศา หากการให้คำมั่นสัญญาในปัจจุบันภายใต้ข้อตกลงปารีสในการตั้งเป้าหมายของแต่ละประเทศในการลดปัญหาโลกร้อนบรรลุผลได้ โลกเราก็ยังคงจะไม่สามารถควบคุมอุณหภูมิให้สูงขึ้นไม่เกิน 1.5 องศาได้ และอาจจะก้าวขึ้นไปถึงอุณหภูมิระดับ 3 องศา ซึ่งจะเกินเป้าหมายของข้อตกลงปารีสไปมาก และยังเกินระดับที่จะถือว่าปลอดภัยสำหรับมนุษยชาติด้วย
   −
 
+
=== <big>C. ข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับการปล่อยมลพิษเป็นลบ</big> ===
<big>C. ข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับการปล่อยมลพิษเป็นลบ</big>
  −
 
   
สถานการณ์จำลองการปล่อยมลพิษในระดับ “ต่ำ” และ “ต่ำมาก” ขึ้นอยู่กับการพัฒนาเทคโนโลยีที่จะใช้ในการกำจัดก๊าซเรือนกระจกที่ชื่อว่าเทคโนโลยีที่ “ปล่อยมลพิษเป็นลบ” ซึ่งจะนำมาใช้ในครึ่งหลังของศตวรรษนี้
 
สถานการณ์จำลองการปล่อยมลพิษในระดับ “ต่ำ” และ “ต่ำมาก” ขึ้นอยู่กับการพัฒนาเทคโนโลยีที่จะใช้ในการกำจัดก๊าซเรือนกระจกที่ชื่อว่าเทคโนโลยีที่ “ปล่อยมลพิษเป็นลบ” ซึ่งจะนำมาใช้ในครึ่งหลังของศตวรรษนี้
    
นักวิทยาศาสตร์หลายคนกังวลว่าการให้คำมั่นสัญญาในอนาคตเกี่ยวกับเทคโนโลยีที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ดังเช่นการเอาก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ออกจากชั้นบรรยากาศ จะทำให้การลงมือทำในสิ่งที่จะต้องทำเกี่ยวกับเรื่องการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศจะยิ่งช้าไปอีก ในอดีตอุตสาหกรรมที่มีอำนาจมากเคยใช้การให้คำมั่นสัญญาในเรื่องการใช้เทคโนโลยีผลิตน้ำมันและเชื้อเพลิงเพื่อที่จะได้มีความชอบธรรมในการผลิตต่อไป เทคโนโลยีเฉกเช่น “ตัวดักจับคาร์บอน” ยังไม่สามารถเกิดขึ้นในระดับที่ใช้งานได้จริงได้อย่างแพร่หลาย ดังนั้นจึงเกิดคำถามสำคัญตามมาว่าเราจะพึ่งพาเทคโนโลยีเหล่านั้นได้จริงหรือไม่
 
นักวิทยาศาสตร์หลายคนกังวลว่าการให้คำมั่นสัญญาในอนาคตเกี่ยวกับเทคโนโลยีที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ดังเช่นการเอาก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ออกจากชั้นบรรยากาศ จะทำให้การลงมือทำในสิ่งที่จะต้องทำเกี่ยวกับเรื่องการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศจะยิ่งช้าไปอีก ในอดีตอุตสาหกรรมที่มีอำนาจมากเคยใช้การให้คำมั่นสัญญาในเรื่องการใช้เทคโนโลยีผลิตน้ำมันและเชื้อเพลิงเพื่อที่จะได้มีความชอบธรรมในการผลิตต่อไป เทคโนโลยีเฉกเช่น “ตัวดักจับคาร์บอน” ยังไม่สามารถเกิดขึ้นในระดับที่ใช้งานได้จริงได้อย่างแพร่หลาย ดังนั้นจึงเกิดคำถามสำคัญตามมาว่าเราจะพึ่งพาเทคโนโลยีเหล่านั้นได้จริงหรือไม่
   −
 
+
=== <big>D. อะไรที่เราสามารถจะทำนายได้ว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต</big> ===
<big>D. อะไรที่เราสามารถจะทำนายได้ว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต</big>
  −
 
   
แม้แต่นักวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถทำนายอนาคตได้อย่างแน่นอนได้ การใช้ชีวิตอยู่กับการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศคือการใช้ชีวิตอยู่กับความไม่แน่นอน ในหัวข้อนี้เราจะมองถึงวงจรสะท้อนกลับและจุดพลิกผันซึ่งเป็นตัวอย่างของความไม่แน่นอนของสภาพอากาศในอนาคต
 
แม้แต่นักวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถทำนายอนาคตได้อย่างแน่นอนได้ การใช้ชีวิตอยู่กับการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศคือการใช้ชีวิตอยู่กับความไม่แน่นอน ในหัวข้อนี้เราจะมองถึงวงจรสะท้อนกลับและจุดพลิกผันซึ่งเป็นตัวอย่างของความไม่แน่นอนของสภาพอากาศในอนาคต
   Line 362: Line 330:  
วงจรสะท้อนกลับนี้ ไม่ได้เป็นระบบแน่นอน ซึ่งหมายความว่าวงจรสะท้อนกลับนี้สามารถเกิดได้อย่างรวดเร็วและฉับพลัน และเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นในรูปแบบที่วิทยาศาสตร์ไม่สามารถทำนายได้ นั่นจึงหมายความว่าในปัจจุบันเราจึงอาจจะอยู่ในช่วงของจุดพลิกผันแล้วก็ได้ ซึ่งจะทำให้เกิดความเสี่ยงที่ส่งผลให้เกิดโลกที่ไม่สามารถอาศัยอยู่ได้ เนื่องมาจากความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขได้
 
วงจรสะท้อนกลับนี้ ไม่ได้เป็นระบบแน่นอน ซึ่งหมายความว่าวงจรสะท้อนกลับนี้สามารถเกิดได้อย่างรวดเร็วและฉับพลัน และเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นในรูปแบบที่วิทยาศาสตร์ไม่สามารถทำนายได้ นั่นจึงหมายความว่าในปัจจุบันเราจึงอาจจะอยู่ในช่วงของจุดพลิกผันแล้วก็ได้ ซึ่งจะทำให้เกิดความเสี่ยงที่ส่งผลให้เกิดโลกที่ไม่สามารถอาศัยอยู่ได้ เนื่องมาจากความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขได้
    +
ในอีก 10 ปีข้างหน้า จำเป็นอย่างยิ่งที่วิธีการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต้องได้รับการปรับปรุงแก้ไข การได้รับข้อมูลเกี่ยวกับความเสี่ยงและสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศช่วยให้เราตัดสินใจได้ดีที่สุดในภาวะปัจจุบันนี้ แม้ว่าจะยังคงเป็นไปได้ที่จะเราจะไม่สามารถทำนายถึงเหตุการณ์ในอนาคตได้อย่างถูกต้องแม่นยำ ความเข้าใจนี้สร้างความรู้สึกที่ไม่สามารถควบคุมได้ แต่คงยังมีโอกาสที่จะบรรลุความสำเร็จในการแก้ปัญหา ยังคงมีเวลาพอที่จะแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ได้ ถ้ามีการกระทำอย่างจริงจังเกิดขึ้นในขณะนี้
 +
 +
== '''<big>การกระทำอะไรที่ได้ดำเนินการไปแล้ว</big>''' ==
 +
6 ปีผ่านมาแล้วหลังจากที่ได้มีการสร้างข้อตกลงปารีส มีการดำเนินงานอย่างไรบ้างของประเทศต่าง ๆ ในโลก เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการลดภาวะการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ และอะไรที่พวกเราจำเป็นต้องทำให้มากกว่านี้
 +
 +
=== <big>การเปลี่ยนแปลงด้านพลังงาน</big> ===
 +
หนึ่งในการกระทำที่สำคัญที่สุดสาหรับทศวรรษนี้คือการเปลี่ยนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานฟอสซิลเป็นพลังงานทดแทน แม้ว่าการเติบโตของพลังงานทดแทนจะสำคัญในการจะทำให้โลกเราออกจากการใช้พลังงานฟอสซิลแต่การเพิ่มขึ้นของพลังงานทดแทนก็ก่อให้เกิดการใช้พลังงานทุกอย่างมากขึ้นตามไปด้วย
 +
 +
พลังงานสะอาดที่ทุกคนเข้าถึงได้จำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงการผลิตและการใช้พลังงาน การลดพลังงานถ่านหินเป็นจำนวน 70% ให้ได้ภายในปี 2030 หมายถึงการเพิ่มพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลมให้มากถึง 5 เท่า ซึ่งเท่ากับการเลิกใช้พลังงานถ่านหินและการปิดโรงไฟฟ้าถ่านหินถึง 2,400 แห่งทั่วโลกภายในศตวรรษหน้า การใช้มาตรการเพื่อเปลี่ยนการใช้พลังงานฟอสซิลไปเป็นพลังงานทดแทนมักจะเกิดค่าใช้จ่ายสูง แต่การทำให้การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศลดน้อยลงได้นั้น มีค่าใช้จ่ายที่น้อยกว่าการที่มนุษย์ต้องปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอยู่มาก
 +
 +
นอกจากนี้ มนุษย์จะได้รับประโยชน์ด้านเศรษฐกิจและด้านสุขภาพจากการเปลี่ยนแปลงไปสู่ระบบเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ เช่น การลดปริมาณมลพิษทางอากาศในเมืองใหญ่ ๆ ซึ่งมักเกิดจากการใช้น้ำมันและยานพาหนะ
 +
 +
ในปัจจุบันพลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์มีค่าใช้จ่ายต่ำกว่าโรงถ่านหินในหลาย ๆ ประเทศ และโครงการพลังงานแสงอาทิตย์นี้ ช่วยให้มนุษย์เสียค่าไฟถูกที่สุดเท่าที่เคยมีมา
 +
 +
การนำโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานกลับมาใช้ใหม่ในช่วงแรกนี้มีความจำเป็นต่อการให้คำมั่นสัญญาในข้อตกลงปารีส งานวิจัยหลายชิ้นแสดงให้เห็นว่า การปล่อยให้แหล่งพลังงานฟอสซิลที่มีอยู่ถูกนำมาใช้จนกระทั่งถึงอายุขัยที่คาดหวังไว้ จะทำให้ไม่สามารถรักษาระดับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ต่ำกว่า 1.5 และ 2 องศาเซลเซียสได้
 +
 +
การเพิ่มขึ้นของพลังงานสะอาดมีความสำคัญต่อการบรรลุถึงเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน และในขณะเดียวกันยังมีความสำคัญต่อการจำกัดภาวะโลกร้อน พลังงานสะอาดนี้สามารถลดมลพิษทางอากาศทั้งในร่มและกลางแจ้ง ความยากจน รวมไปถึงการบริการหลัก เช่น การสูบน้ำ การใช้แสงสว่างในครัวเรือน
 +
 +
การปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพพลังงาน จะสามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 40 เปอร์เซ็นต์ภายในปี 2040 สิ่งนี้จำเป็นต้องมีการเพิ่มเข้าไปในเรื่องต่าง ๆ เช่น การขนส่ง (รถยนต์ไฟฟ้า) ด้านครัวเรือน เช่น ที่อยู่อาศัยที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นและเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพในการใช้พลังงาน รวมไปถึงประสิทธิภาพจากโรงงานอุตสาหกรรม ครัวเรือนทั่วโลกจะสามารถประหยัดไปได้มากกว่า 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปีในเรื่องของบิลค่าใช้จ่ายจากการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานของอุปกรณ์ไฟฟ้า แก๊สธรรมชาติเพื่อการหุงต้มและเครื่องทำความร้อน รวมไปถึงเชื้อเพลิงสำหรับยานพาหนะ
 +
 +
=== <big>การอนุรักษ์และการฟื้นฟู</big> ===
 +
ประเด็นเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ ความเสื่อมโทรมของพื้นดิน มลพิษทางน้ำและทางอากาศนั้นมีความสัมพันธ์เชื่อมต่อกันทั้งหมด การท้าทายที่สำคัญ คือ การตระหนักถึงการเชื่อมโยงกันของเหตุการณ์ทั้งหมดนี้และเพื่อให้มั่นใจว่าการกระทำที่จะแก้ปัญหาสิ่งหนึ่งจะไม่มีผลกระทบต่ออีกสิ่งหนึ่งอย่างไม่คาดคิด เช่น การแทนที่การปลูกพืชพันธุ์พื้นเมืองด้วยการปลูกพืชเชิงเดี่ยวเพื่อการจัดหาพลังงานชีวภาพ หรือ การทำลายระบบนิเวศเพื่อที่จะสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานทดแทน การปลูกป่าขนาดใหญ่ด้วยพืชพื้นเมืองเป็นการแก้ปัญหาการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ ความเสื่อมโทรมของพื้นดินและมลพิษทางน้ำและทางอากาศไปพร้อม ๆ กัน
 +
 +
การรักษาระบบนิเวศเป็นการเพิ่มความสามารถของป่า มหาสมุทรและดิน ที่จะลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทุกวันนี้ธรรมชาติเป็นสิ่งเดียวที่สามารถดึงดูดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นจานวนครึ่งหนึ่งของทั้งหมดที่ปลดปล่อยมาสู่ชั้นบรรยากาศโลกในปริมาณที่เท่ากันระหว่างระบบนิเวศบนบกและมหาสมุทร ส่วนที่เหลือยังคงอยู่ในชั้นบรรยากาศและเป็นสาเหตุทำให้โลกร้อน ปัจจุบันนี้ป่าไม้ได้ดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์น้อยกว่า 1 ใน 4 ของปริมาณที่ปล่อยออกมาจากเชื้อเพลิงฟอสซิลและที่ปล่อยออกมาจากโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งยังคงมีศักยภาพในการกักเก็บได้มากกว่านั้นมาก
 +
 +
การเกษตรกรรมเป็นตัวผลักดันที่สำคัญยิ่งต่อการสูญเสียความหลากหลายทางด้านชีวภาพและการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การเปลี่ยนแปลงจากระบบการผลิตอาหารเป็นการใช้วิธีทางเกษตรกรรมโดยใช้ธรรมชาติเป็นตัวช่วย เป็นสิ่งสำคัญยิ่งสำหรับการรักษาระบบนิเวศวิทยาทางธรรมชาติและความสามารถของดินที่จะกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ การเกษตรที่ยั่งยืนมีความสามารถในการอนุรักษ์และรักษาดินและระบบนิเวศ ทั้งยังช่วยปรับปรุงความหลากหลายทางด้านชีวภาพของท้องถิ่นมากกว่าที่จะทำให้สิ่งเหล่านี้เสื่อมสภาพลง เกษตรกรรายย่อยโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เกษตรกรหญิง คือความท้าทายอย่างหนึ่งในการบรรลุความสำเร็จในเรื่องความมั่นคงด้านทรัพยากรอาหารอย่างยั่งยืนและมีความจำเป็นที่จะต้องมีการพัฒนาบทบาททางการเงิน การศึกษาและการอบรม รวมไปถึงเทคโนโลยีและสารสนเทศ
 +
 +
=== <big>การสร้างจิตสำนึกต่อโลก</big> ===
 +
จากรายงานพิเศษเกี่ยวกับภาวะโลกร้อน 1.5 องศาเซลเซียสของคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ (IPCC) ในปี 2018 และหน่วยงานความร่วมมือระหว่างรัฐบาลว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพและการให้บริการของระบบนิเวศ (Intergovernmental Science-Policy Platform on Biodiversity and Ecosystem Services-IPBES) ซึ่งประเมินในปี 2019 ได้กล่าวว่าจิตสำนึกของโลกที่เกี่ยวกับวิกฤตทางภูมิอากาศและวิกฤตระบบนิเวศได้เพิ่มมากขึ้นมากมายอย่างเห็นได้ชัด
 +
 +
ในปี 2021 นี้ สหประชาชาติได้ตีพิมพ์ผลของการโหวตสภาพภูมิอากาศของประชาชนจำนวน 1.2 ล้านคนทั่วโลก เป็นการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา ประชาชนได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศในเรื่องของการใช้พลังงานทดแทนและการอนุรักษ์ธรรมชาติ โดยมีหลายประเทศที่ได้เข้าร่วมการสำรวจในครั้งนี้
 +
 +
ผลของการโหวตสภาพภูมิอากาศของประชาชนเกือบจะ 64 เปอร์เซ็นต์ของประชาชนใน 50 ประเทศทั่วโลก เชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นเรื่องฉุกเฉินเร่งด่วนของโลก นี่คือข้อมูลที่สำคัญสำหรับรัฐบาลทุกประเทศที่จะมุ่งไปสู่การประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 26 (COP26) เพราะว่าประชาชนส่วนใหญ่เชื่อว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในขณะนี้
 +
 +
การโหวตสภาพภูมิอากาศของประชาชนพบได้ว่ามีการสนับสนุน สูงทั่วโลกเกี่ยวกับการอนุรักษ์ป่าและพื้นดิน การใช้พลังงานทดแทน การใช้เทคนิคทางด้านการเกษตรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และการลงทุนในธุรกิจสีเขียวหรือองค์กรที่จัดกิจกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
 +
 +
ในประเทศที่มีการตัดไม้ทำลายป่าในระดับสูง เช่น ประเทศบราซิล อินโดนีเซีย และอาร์เจนตินานั้น มีประชาชนส่วนใหญ่ที่ได้ให้การสนับสนุนในการอนุรักษ์ป่าและผืนดิน และในอินเดีย การอนุรักษ์ป่าและดินถือเป็นนโยบายที่มีความสำคัญมากที่สุดเป็นอันดับสามรองจากเรื่องการใข้พลังงานทดแทนและการทำฟาร์มที่ใช้เทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อภูมิอากาศ  
 +
 +
และประเทศที่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในระดับสูงเนื่องมาจากการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าและเครื่องทำความร้อน ได้แก่ ประเทศอเมริกา ออสเตรเลีย เยอรมนี อเมริกาใต้ ญี่ปุ่น โปแลนด์ รัสเซีย ซึ่งประชากรส่วนใหญ่ได้สนับสนุนการใช้พลังงานทดแทน
 +
 +
ผลของการสำรวจนี้สำคัญอย่างมากเพราะเป็นการแสดงให้เห็นถึงการสนับสนุนอย่างกว้างขวางต่อการแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศของโลก ซึ่งผลสำรวจนี้ได้มาจากกลุ่มประชาชนจำแนกตามกลุ่มอายุ ระดับการศึกษา เชื้อชาติและเพศ
 +
 +
นอกเหนือจากการสร้างแรงกดดันต่อรัฐบาลเพื่อที่จะแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ และการใช้สิทธิ์ลงคะแนนเสียงและสิทธิพลเมืองแล้วนั้น แต่ละบุคคลสามารถที่จะเปลี่ยนการเปลี่ยนแปลงโลกของเราไปสู่การใช้คาร์บอนระดับต่ำในอนาคตได้โดยการกระทำของแต่ละบุคคล แต่ละบุคคลมีบทบาทในการที่จะลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ประชากรในหลายประเทศจะมีบทบาทในการลดก๊าซนี้มากน้อยเท่าใดขึ้นอยู่กับการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของแต่ละคน เช่น การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการรับประทานอาหารของตัวเอง เช่น การทานอาหารให้น้อยลงหรือไม่ทานเนื้อสัตว์ และพฤติกรรมในการเดินทาง เช่น ลดการขับรถให้น้อยลงหรือลดการเดินทางโดยเครื่องบินให้น้อยลง หรือลดพฤติกรรมการกินทิ้งกินขว้าง และลดพฤติกรรมในการใช้น้ำและพลังงานที่มากเกินไป พฤติกรรมเหล่านี้สามารถช่วยอนุรักษ์และปกป้องความหลากหลายทางด้านชีวภาพ ประชาชนทุกคนควรที่จะสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเหล่านี้ได้โดยการปลูกจิตสานึกในชุมชนของตนเอง
 +
 +
== '''<big>การกระจายความรับผิดชอบต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างเป็นธรรม</big>''' ==
 +
ในศตวรรษที่ผ่านมา บางประเทศมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นจำนวนมากและประเทศอื่นเริ่มทำการปล่อยก๊าซพิษนี้ตามลำดับ ซึ่งเหตุผลของการเพิ่มขึ้นของการปล่อยก๊าซทั่วโลกทุก ๆ ปีในขณะนี้ เป็นสาเหตุมาจากการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วของเศรษฐกิจใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทวีปเอเชีย ตะวันออกกลาง ทวีปอเมริกากลางและอเมริกาใต้ ซึ่งการเพิ่มขึ้นของการปล่อยก๊าซพิษในศตวรรษนี้เกือบทั้งหมดจะมาจากประเทศที่กำลังพัฒนา
 +
 +
ประเทศร่ำรวยอย่าง เช่น ประเทศอเมริกาและประเทศในสหภาพยุโรปได้จ้างให้ประเทศจีนและประเทศอินเดียทำการผลิตระบบอาหารซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการเพิ่มก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้ชั้นบรรยากาศโลก เช่น การผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ประชาชนทั่วโลกใช้นั้นผลิตมาจากประเทศจีน สิ่งที่ประเทศร่ำรวยได้ทำนี้ เป็นเพียงการย้ายก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ไปยังประเทศจีนและอินเดีย มากกว่าจะเป็นการลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลง
 +
 +
ความแตกต่างในเรื่องของผลกระทบระหว่างประเทศที่ต้องรับผิดชอบสูงสุดต่อสาเหตุการเกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและประเทศที่ได้รับความเสียหายมากที่สุดจากผลกระทบนี้เป็นการยากที่จะเข้าใจได้ ประเทศที่ร่ำารวยที่สุดมีเพียง 1% ของประชากรโลก แต่มีสัดส่วนการปล่อยก๊าซคาร์บอนมากกว่า 2 เท่าของประชากรโลกที่เป็นคนจน ประเทศอุตสาหกรรมซึ่งกลายเป็นประเทศที่ร่ำรวยจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิลนั้น มีทรัพยากรที่ดีที่สุดเพื่อเป็นผู้นำในขณะนี้ สถานการณ์ของแต่ละประเทศที่แตกต่างกันนี้ทำให้ข้อตกลงปารีสเรียกร้องให้มี “การลดลงของการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อย่างรวดเร็ว” เพื่อให้เกิดความสำเร็จ”บนพื้นฐานของความเท่าเทียมกันและในเรื่องของการพัฒนาอย่างยั่งยืนและความพยายามที่จะลดความยากจนลง”
 +
 +
ทุกวันนี้ มีการให้ความสำคัญเพิ่มขึ้นเกี่ยวกับการปรับตัวให้เข้ากับความเป็นจริงของการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการแก้ไขสภาพภูมิอากาศได้ถูกนำมาอภิปรายในข้อตกลงปารีสเรื่องการปรับตัวอย่างไรต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสำหรับชุมชนต่าง ๆ ในส่วนต่าง ๆ ของโลก
 +
 +
ความท้าทายในการปรับตัวต่อเรื่องภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงนั้นจะยากลำบากกว่าในประเทศที่กำลังพัฒนา เนื่องจากว่าผลกระทบจากเรื่องนี้มีความรุนแรงกว่าในประเทศเหล่านี้ และหลาย ๆ ประเทศไม่มีเงินทุน โครงสร้างพื้นฐาน หรือความสามารถทางเทคโนโลยีที่เพียงพอในการปรับตัว
 +
 +
สิ่งนี้จะถูกนำมาปรับใช้ตามมาตรการของสหประชาชาติว่าด้วยเรื่องโอกาสและความเท่าเทียมหรือที่เรียกว่า เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนและกฎบัตรสหประชาชาติว่าด้วยเรื่องสิทธิในการพัฒนาตนเอง
 +
 +
ยิ่งโลกของเราร้อนมากขึ้นเท่าไร ภาคส่วนต่าง ๆ ยิ่งได้รับผลกระทบมากขึ้นเท่านั้น ยิ่งความเสื่อมโทรมของระบบนิเวศมีมากขึ้นเท่าใด ยิ่งเกิดความยากลำบากในการปรับตัว ชุมชนที่ยากจนและถูกกีดกัน ไม่ว่าจะในประเทศที่ร่ำรวยหรือยากจนก็ตาม มักไม่มีความสามารถพื้นฐานที่จะปรับตัวต่อผลกระทบที่เกิดจากอุณหภูมิโลกที่สูงขึ้น
 +
 +
ในหลาย ๆ ครั้ง การปรับตัวเป็นไปไม่ได้อย่างสิ้นเชิง เช่น ในบางพื้นที่ที่ไม่สามารถทำการเกษตรได้อีกต่อไป เนื่องจากอุณหภูมิที่สูงขึ้นและการขาดแคลนแหล่งน้ำ โดยทั่วไปแล้วประเทศที่กำลังพัฒนามีความเปราะบางที่สุดต่อผลกระทบของเรื่องนี้ รวมทั้งยังมีปัญหาด้านเงินทุนและเทคโนโลยีอีกด้วย
 +
 +
นอกเหนือไปจากนี้ การถูกคุกคามทางสังคมของชุมชนเหล่านี้ถูกผูกติดกับกระบวนการที่เป็นสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศ ได้แก่การล่าอาณานิคม การนำทรัพยากรมาใช้ประโยชน์ การแสวงหาประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ ในขณะที่ทำให้ทรัพยากรธรรมชาติระบบนิเวศวิทยาเสื่อมลง ซึ่งสิ่งนี้เป็นการสนับสนุนชีวิตความเป็นอยู่ของคนท้องถิ่นและการควบรวมของพลังงานฟอสซิลในการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจ
 +
 +
ประเทศที่ร่ำรวยมากกว่าครอบครองทรัพยากรธรรมชาติมากกว่าประเทศที่ยากจนเพื่อใช้ในการปรับตัวให้เข้ากับความต้องการของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หมายความว่าประเทศที่ยากจนต้องได้รับการช่วยเหลือทางด้านการเงินและด้านเทคโนโลยี ภาวะโลกร้อนที่เพิ่มขึ้นทำให้เกิดผลกระทบต่อสังคม เศรษฐกิจ สุขภาพของมนุษย์และระบบนิเวศวิทยา นั่นหมายถึงความท้าทายของการปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศที่สูงขึ้น
 +
 +
127 ประเทศรวมถึงประเทศอินเดียจากทั้งหมด 196 ประเทศที่ให้คาสัตยาบันต่อความตกลงปารีส เป็น ประเทศที่อยู่ภายใต้เงื่อนไขบางส่วนหรือทั้งหมด นั่นหมายถึงว่า ถ้าหากปราศจากการสนับสนุนทางด้านการเงินและทางด้านเทคนิคระหว่างประเทศแล้ว คามั่นสัญญาที่ 127 ประเทศนี้ได้ให้ไว้ในความตกลงปารีสอาจจะไม่มีผล. คามั่นสัญญาภายใต้ข้อตกลงภายใต้
 +
 +
เงื่อนไขบางส่วนหรือเงื่อนไขทั้งหมดนี้ส่วนใหญ่แล้วถูกหยิบยกขึ้นมาโดยประเทศที่ขาดแคลนความพร้อมทางการเงิน ศักยภาพทางเทคโนโลยี และความพร้อมขององค์กรของประเทศนั้นที่จะทาการลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์.
   −
ในอีก 10 ปีข้างหน้า จำเป็นอย่างยิ่งที่วิธีการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต้องได้รับการปรับปรุงแก้ไข การได้รับข้อมูลเกี่ยวกับความเสี่ยงและสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศช่วยให้เราตัดสินใจได้ดีที่สุดในภาวะปัจจุบันนี้ แม้ว่าจะยังคงเป็นไปได้ที่จะเราจะไม่สามารถทำนายถึงเหตุการณ์ในอนาคตได้อย่างถูกต้องแม่นยำ ความเข้าใจนี้สร้างความรู้สึกที่ไม่สามารถควบคุมได้ แต่คงยังมีโอกาสที่จะบรรลุความสำเร็จในการแก้ปัญหา ยังคงมีเวลาพอที่จะแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ได้ ถ้ามีการกระทำอย่างจริงจังเกิดขึ้นในขณะนี้
+
การให้คำมั่นสัญญาของประเทศที่กล่าวมานี้อาจไม่สามารถสาเร็จได้เพราะว่าการสนับสนุนระหว่างประเทศที่เกิดเป็นรูปเป็นร่างแล้วมีเพียงเล็กน้อย.
 +
 
 +
เรื่องเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศนำไปสู่คำถามเกี่ยวกับความรับผิดชอบระหว่างรุ่นของคน หมายถึงคนรุ่นเก่าได้รับผลประโยชน์มากที่สุดจากการพัฒนาทางเศรษฐกิจโดยมีผลมาจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล ในขณะที่คนรุ่นใหม่กาลังได้รับผลที่ตามมาของการกระทำนี้
 +
 
 +
== '''<big>การประชุมสุดยอดด้านภูมิอากาศแห่งสหประชาชาติ (COP26) และก้าวต่อ ๆ ไป</big>''' ==
 +
เรื่องฉุกเฉินเร่งด่วนของสภาพอากาศและระบบนิเวศได้เกิดขึ้นกับเราแล้วและกำลังจะเลวร้ายลงเนื่องจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ อย่างต่อเนื่องและมนุษย์ยังคงทำลายความหลากหลายทางชีวภาพ ความเสียหายที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศนั้นเลวร้ายกว่าที่คาดการณ์ไว้เมื่อทศวรรษก่อนหน้านี้ และเกิดขึ้นทั่วโลกแล้ว เพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายการจำกัดภาวะโลกร้อนสูงสุดที่อุณหภูมิ 1.5 องศานั้น เราจำเป็นต้องลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อย่างหนักภายในปี 2020 ถึง 2030 และในทศวรรษข้างหน้า
 +
 
 +
5 ปีที่แล้วมีความสำเร็จเกิดขึ้นในด้านการลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ พลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์ได้กลายเป็นพลังงานที่มีราคาถูกกว่าและนำไปใช้ได้ง่ายกว่าแหล่งพลังงานอื่น ๆ มากกว่าที่คาดไว้ รถยนต์ไฟฟ้ากลายเป็นยานพาหนะที่หาได้ง่ายและมีอยู่ทั่วไปมากกว่าในอดีต และเทคโนโลยีที่ปล่อยคาร์บอนต่ำมีการแข่งขันกันสูงในตลาดและกำลังเติบโตเพิ่มขึ้นขณะนี้จากความจำเป็นที่จะต้องลดปริมาณการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในภาคอุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมการบิน ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ยากที่สุดที่จะใช้พลังงานโดยไม่ให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ รายงานในปี 2018 ของอุตสาหกรรมการบินพบว่า แผนการที่จะปรับปรุงเทคโนโลยีและการปฏิบัติการทางการบินจะไม่ทำให้ความต้องการพลังงานฟอสซิลและการปล่อยก๊าซจากพลังงานฟอสซิลนี้ลดลงได้ ปัจจุบันจึงได้มีแผนการที่กำลังจะเกิดขึ้นในการดำเนินการกับอุตสาหกรรมหนักในการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สูงชั้นบรรยากาศโลก
 +
 
 +
การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตยังคงเป็นเรื่องจำเป็นในการหาคำตอบให้กับเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ วิถีชีวิตของแต่ละคนครอบคลุมในด่านต่าง ๆ เช่น การบริโภคอาหาร ที่อยู่อาศัย การเคลื่อนย้ายถิ่นฐาน การรับบริการโดยในขณะนี้ข้อตกลงปารีสได้ตั้งเป้าหมายในการที่จะลดจำนวนการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในการประชุมของสมัชชาภาคีของผู้นำประเทศต่าง ๆ ณ เมืองกลาสโกว์ จึงคาดว่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการสร้างแผนงานในรายละเอียดมากยิ่งขึ้น เพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายที่ความตกลงปารีสได้ตั้งเอาไว้ คำถามที่สำคัญสำหรับการประชุมนี้ คือ จะทำอย่างไรจึงจะเปลี่ยนจากพลังงานฟอสซิลและทำอย่างไรจะเปลี่ยนจากการให้คำมั่นสัญญาในการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นศูนย์ไปเป็นการกระทำอย่างจริงจังและบรรลุผลได้ การพัฒนาในขั้นตอนต่อไปนั้นจำเป็นต้องมีผู้นำจากทุกระดับชั้น ตั้งแต่รายบุคคล ไปจนถึงนักธุรกิจ นักลงทุน รัฐบาล และรวมถึงสมัชชาโลก
 +
 
 +
== <big>'''อภิธานศัพท์'''</big> ==
 +
'''Adaptation'''
 +
 
 +
การปรับตัวต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
 +
 
 +
'''Carbon budget'''
 +
 
 +
ปริมาณของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ประเทศ บริษัท หรือองค์กร ได้ตกลงกันแล้วว่าเป็นปริมาณก๊าซที่มากที่สุด ซึ่งจะถูกผลิตขึ้นมาในช่วงเวลาหนึ่ง
 +
 
 +
'''Carbon dioxide (CO2)'''
 +
 
 +
ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (ประกอบไปด้วยคาร์บอน 10 ส่วนและออกซิเจน 2 ส่วน)
 +
 
 +
'''Conference of the Parties (COP)'''
 +
 
 +
การประชุมสมัชชาประเทศภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่ตัดสินใจ ตรวจสอบและทบทวนการปฏิบัติตามอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC)
 +
 
 +
'''Decarbonizing'''
 +
 
 +
การลดจำนวนของการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์โดยผ่านการใช้แหล่งพลังงานคาร์บอนต่ำหมายเพื่อให้ปริมาณก๊าซเรือนกระจกถูกปล่อยน้อยลงสู่ชั้นบรรยากาศ
 +
 
 +
'''Economic growth'''
 +
 
 +
การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นการเพิ่มปริมาณของสินค้าและบริการในตลาด เช่น เศรษฐกิจของประเทศ โดยตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจวัดได้จาก ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศหรือ GDP (จีดีพี)
 +
 
 +
'''Equity'''
 +
 
 +
หลักการที่กำหนดขึ้นซึ่งกำหนดให้ปฏิบัติเป็นการทั่วไปบนความรับผิดชอบร่วมกันในระดับที่แตกต่าง
 +
 
 +
กันระหว่างประเทศที่พัฒนาแล้วและประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งเป็นกฎหมายสิ่งแวดล้อมสากลที่ครอบคลุมเรื่องการทำลายสิ่งแวดล้อมแต่ไม่ได้รับผิดชอบในระดับที่เท่า ๆ กัน
 +
 
 +
'''Exploit/exploitation'''
 +
 
 +
การใช้บุคคลหรือบางสิ่งบางอย่างโดยไม่เป็นธรรม ช่วยเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง โดยขาดการดูแลเอาใจใส่สิ่งนั้นซึ่งถูกเอารัดเอาเปรียบ
 +
 
 +
'''Extinction'''
 +
 
 +
การสูญพันธุ์ โดยการสูญพันธุ์นี้เกิดขึ้นเมื่อสายพันธุ์ชุดสุดท้ายที่เหลืออยู่ได้ตายลง
 +
 
 +
'''GDP'''
 +
 
 +
ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ เป็นมาตรฐานในการวัดมูลค่าที่ได้จากการผลิตสินค้าและบริการในประเทศในช่วงระยะเวลาหนึ่ง
 +
 
 +
'''Greenland ice sheet'''
 +
 
 +
แผ่นน้ำแข็งกรีนแลนด์ ซึ่งเป็นบริเวณบริเวณที่ปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งที่กว้างขวางครอบคลุม 1,710,000 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 79% ของเกาะกรีนแลนด์ เป็นบริเวณที่ปกคลุมด้วยน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลกต่อจากแผ่นน้ำแข็งในทวีปแอนตาร์กติก
 +
 
 +
'''Geenhouse'''
 +
 
 +
ก๊าซเรือนกระจก ซึ่งประกอบด้วยก๊าซ 6 ชนิดตามกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC) และพิธีสารเกียวโต (Kyoto Protocol) คือ 1. คาร์บอนไดออกไซด์ 2. มีเทน 3. ไนตรัสออกไซด์ 4. ซัลเฟอร์เฮกซะฟลูออไรด์ 5. ไฮโดรฟลูออโรคาร์บอน และ 6. เพอร์ฟลูออโรคาร์บอน
 +
 
 +
'''Indigenous people'''
 +
 
 +
คำจำกัดความที่ชัดเจนของคำว่า “ชนพื้นเมือง” ยังไม่มีการระบุจากองค์การสหประชาชาติ แต่ตามความหมายทั่วไปนั้น ชนพื้นเมือง คือกลุ่มคนที่เป็นลูกหลานบรรพบุรุษที่เคยอาศัยอยู่ในประเทศใดประเทศหนึ่งในช่วงเวลาที่มีการเข้ามาของวัฒนธรรมและชาติพันธุ์ต่าง ๆ โดยผู้ที่เข้ามาทีหลังกลายมาเป็นผู้มีอำนาจเหนือกว่าผ่านการยึดครอง ชัยชนะการรบ การย้ายมาตั้งรกรากถาวร หรือวิธีการอื่น ๆ มีการประมาณว่าจำนวนชนพื้นเมืองมีอยู่ 370 ล้านคน ซึ่งกระจายอยู่ 70 ประเทศทั่วโลก
 +
 
 +
'''Industrial Revolution'''
 +
 
 +
การปฏิวัติอุตสาหกรรม เป็นเหตุการณ์ซึ่งเกิดในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ การปฏิวัติอุตสาหกรรม คือ กระบวนการเปลี่ยนแปลงจากการเกษตรและงานฝีมือไปสู่เศรษฐกิจเชิงอุตสาหกรรมและการผลิตเครื่องจักร ซึ่งเกิดขึ้นในระหว่างช่วงศตวรรษที่ 18 และ 19
 +
 
 +
'''Intergovernmental Panel on Climate Change (IPCC)'''
 +
 
 +
คณะกรรมาธิการระหว่างประเทศว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หน่วยงานระหว่างรัฐบาล สหประชาชาติ ซึ่งเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นกลางทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกิดจากมนุษย์ รวมถึงผลกระทบต่อธรรมชาติ การเมือง เศรษฐกิจ ความเสี่ยงต่าง ๆ และทางเลือกในการรับมือ
 +
 
 +
'''Low carbon'''
 +
 
 +
คาร์บอนต่ำ หรือการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิในปริมาณต่ำเข้าไปสู่ชั้นบรรยากาศโลก
 +
 
 +
'''Mitigation'''
 +
 
 +
การบรรเทาทุกข์  การลดความเลวร้ายหรือความรุนแรงของบางสิ่งบางอย่าง
 +
 
 +
'''Nationally determined contributions (NDC)'''
 +
 
 +
เป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ โดยครอบคลุมถึงประเทศที่ได้ยื่นข้อตกลงเข้าร่วมในการลดปริมาณก๊าซเรือนกระจก และการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศภายใต้กรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC)
 +
 
 +
'''Negative emissions'''
 +
 
 +
การปล่อยมลพิษเป็นลบ เป็นหนึ่งในคำศัพท์ที่ใช้สำหรับกิจกรรมต่าง ๆ ที่ทำการนำก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากชั้นบรรยากาศของโลก
 +
 
 +
'''Net-zero'''
 +
 
 +
แนวคิดในการจัดการเพื่อทำให้เกิดสมดุลในการปล่อยและการกำจัดก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมหรือผลิตภัณฑ์เป็นค่าสุทธิเท่ากับศูนย์ เราจะบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ได้เมื่อปริมาณก๊าซที่ปล่อยเข้าไปในชั้นบรรยากาศน้อยกว่าปริมาณที่กำจัดออกจากชั้นบรรยากาศ
 +
 
 +
'''Paris Agreement'''
 +
 
 +
ความตกลงปารีส หรือ ข้อตกลงปารีส คือ ข้อตกลงสนธิสัญญาระหว่างประเทศด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งมีผลบังคับใช้และมีผลผูกพันทางกฎหมาย ข้อตกลงนี้นำมาใช้เป็นครั้งแรกในปี 2015
 +
 
 +
'''Pollution'''
 +
 
 +
มลพิษหรือสารอันตรายที่ถูกสร้างขึ้นมาจากกิจกรรมของมนุษย์ เช่น ขยะในมหาสมุทร หรือสารเคมีจากการเกษตร
 +
 
 +
'''Scientific Revolution'''
 +
 
 +
การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างศตวรรษที่ 16 และ 17  ในระหว่างช่วงเวลานี้ ศาสตร์กลายเป็นวิทยาศาสตร์ซึ่งแต่งต่างจากปรัชญาและเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์ได้แทนที่ศาสนาคริสต์และกลายเป็นจุดเปลี่ยนหลักของอารยธรรมตะวันตก
 +
 
 +
 
 +
'''<big>การแปลงอุณหภูมิอากาศจากองศาเซลเซียส (C) เป็นองศาฟาเรนไฮต์ (F)</big>'''
 +
 
 +
1.00C = 1.80F
 +
 
 +
1.20C = 2.60F
 +
 
 +
1.50C = 2.70F
 +
 
 +
2.00C = 3.60F
 +
 
 +
2.50C = 4.40F
 +
 
 +
3.00C = 5.40F
 +
 
 +
3.50C = 6.20F
 +
 
 +
4.00C = 7.20F
 +
 
 +
4.50C = 8.10F
 +
 
 +
5.00C = 8.80F
 +
 
 +
6.00C = 10.80F
 +
 
 +
== '''<big>เครดิต</big>''' ==
 +
จุลสารข้อมูลนี้จัดทำขึ้นเพื่อใช้ในการอบรมเชิงวิชาการของสมัชชาโลก
 +
 
 +
คณะกรรมการฝ่ายความรู้และภูมิปัญญาของสมัชชาโลกได้เป็นผู้ดำเนินการเรียบเรียงเอกสารนี้ โดยเป้าประสงค์ของคณะกรรมการนั้นก็เพื่อที่จะให้เกิดการเรียนรู้ที่ยึดมั่นในหลักฐานและจัดทำชุดคำถามที่ใช้เป็นประเด็นขบคิดแก่สมาชิกสมัชชา รวมทั้งเนื้อหาในจุลสารนี้
 +
 
 +
สมาชิกของคณะกรรมการประกอบด้วยผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับระบบของโลก, การเปลี่ยนแปลงของระบบต่าง ๆ, วิศวกรรมและธรณีวิทยา, ความรู้จากชนพื้นเมือง, นิเวศวิทยา, วิทยาศาสตร์ด้านภูมิอากาศ, เศรษฐศาสตร์สิ่งแวดล้อม, การปรับตัวกับสภาพภูมิอากาศและประเทศที่เปราะบาง, จิตวิทยาด้านพฤติกรรมและการเรียนรู้
 +
 
 +
โดยมีประธานคณะกรรมการ คือ ศาสตราจารย์บ็อบ วัตสัน (Bob Watson) อดีตประธานคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IPCC) และอดีตประธานหน่วยนโยบายวิทยาศาสตร์ระหว่างชาติเรื่องการให้บริหารด้านความหลากหลายทางชีววิทยาและระบบนิเวศ (IPBES)
 +
 
 +
สมาชิกคณะกรรมการมีดังนี้
 +
 
 +
● ดร นาฟีซ อาเหม็ด, System Shift Lab, สหราชอาณาจักร
 +
 
 +
● ดร.สจวร์ต แคปสติก, Centre for Climate Change and Social Transformation, มหาวิทยาลัยคาร์ดิฟฟ์, เวลส์
 +
 
 +
● ศาสตราจารย์ เพอร์นามิตา ดาสคุปตะ, Institute of Economic Growth, กรุงเดลฮี
 +
 
 +
● ศาสตราจารย์ ซาลีมุล ฮุค, International Centre for Climate Change and Development (ICCCAD), ประเทศบังคลาเทศ
 +
 
 +
● โยติ หม่า (สหรัฐอเมริกา) และ มินดาฮี บาสทิด้า มูนอซ (ประเทศเม็กซิโก), The Fountain, Sacred Economics, Indigenous Wisdom Keepers
 +
 
 +
● ศาสตราจารย์ ไมเคิล เอ็น โอติ, ธรณีวิทยาทางปิโตรเลียม, มหาวิทยาลัยพอร์ท ฮาร์คอร์ท ประเทศไนจีเรีย
 +
 
 +
● ศาสตราจารย์ จูเลีย สไตน์เบอร์เกอร์, เศรษฐศาสตร์เชิงนิเวศ, มหาวิทยาลัยโลซานน์, ประเทศสวิสเซอร์แลนด์
 +
 
 +
 
 +
จุลสารข้อมูลนี้ได้รับการปรับปรุง 12 ครั้ง และถูกเขียนขึ้นโดยนักข่าวชื่อ Tarn Rogers Johns และได้รับคำแนะนำและความคิดเห็นจาก Claire Mellier และถูกปรับปรุงเพิ่มเติมโดย Nathalie Marchant ความคิดเห็นจากฉบับร่าง ๆ ต่างมาจาก ดร. Lydia Messling, Will Bugler และ Georgina Wade ผู้เชี่ยวชาญด้านการสื่อสารด้านสภาพอากาศจากกลุ่มที่ปรึกษาจากบริษัท Willis Towers Watson และจากพาร์ทเนอร์ของสมัชชาโลก
Community-Host
13

edits

MediaWiki spam blocked by CleanTalk.